-

***

22 มิ.ย. 2554

ข้ามสีทันดร




ชีวิต ก็เหมือน เรือน้อย ที่เคลื่อน ออกไป
อยู่กลาง ทะเลใหญ่ ที่ดู เวิ้ง ว้าง
เลวร้าย มีคลื่นลม เหมือนไม่มีวันเห็นฝั่ง
รอนแรม เรื่อยไป บนทาง ที่มัน ช่างมืดมน

ข้ามสีทันดร ทะเลที่มัน กว้างใหญ่
อาจทำ ให้ท้อใจ ลอยไป ยิ่งไกล ยิ่งท้อ
ท่ามกลางทะเล ความหวัง คือสิ่ง ที่เฝ้ารอ
แค่เพียงไม่ท้อ จะพบ คืนวัน ที่สวย งาม

พรุ่งนี้ จะสวย สดใส ขึ้นใน ไม่นาน
คลื่นลม ต้องเลย ผ่าน แหละจะจางหาย
ชีวิต ก็เหมือน เรือ ต้องเจอ คลื่นลม มากมาย
เฝ้ารอ แค่เพียง วันใด คลื่นลม จะเลย ผ่าน".

....คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการอยู่บนเรือคนเดียวในเวลาที่มีแต่พายุ ได้แต่รอให้พายุผ่านไป ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกนานแค่ไหน หรือจะมีพายุลูกใหม่มาอีกเมื่อไหร่ ชีวิตเราจะมีความหวังเก็บไว้สู้กับพายุได้เยอะขนาดนั้นเลยหรอ....

ขอให้ทุกท่านผ่านพายุไปให้ได้นะคะ.....

ข้อความดี ๆ :ddddd

19 มิ.ย. 2554

ไม่มีคำว่าแพ้...หากว่าเราได้เริ่ม..




ชีวิต ในบางครั้ง
ความอยุติธรรมก็คล้ายเป็นเรื่องถูกต้อง
ความเจ็บปวดก็คล้ายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ความเสียเปรียบก็อาจถูกยัดเยียดให้
ความพ่ายแพ้ก็อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน
คนที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับเอาไว้ได้
เพื่อที่จะกอบกำทุกอย่างกลับคืนมา

ดอกไม้สวยอยู่บนต้น
จะหล่นก็ต่อเมื่อ มีใครมาเด็ด
—————————————-

เพื่อนที่ดีมีหนึ่งถึงจะน้อย
ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา
ดุจก้อนเกลือเค็มนิดหน่อยด้อยราคา
ยังมีค่ากว่าน้ำเค็มเต็มทะเล

มีเม็ดทรายนับไม่ถ้วนจำนวนทราย
คนทั้งหลายนับไม่ถ้วนในคุณค่า
ทรายจะแกร่งก็เพราะผ่านกาลเวลา
คนจะกล้าก็เพราะผ่านความอดทน
—————————————

รอยเท้าที่ยาวไกล
เมื่อมองกลับไป
บ่งบอกได้ในผลงาน
บางรอยอาจมีชำรุด
เพราะสะดุด จุดขวากหนาม
ฟันฝ่าจนรอยงาม
เก็บเป็นนิยามของความภูมิใจ

เงินไม่ได้สร้างมิตรแท้มากเท่าศัตรูจริง

17 มิ.ย. 2554

ทำวันนี้ ให้ดีกว่า เมื่อวาน.....





"ทำวันนี้ ให้ดีกว่า เมื่อวาน"

เคยถามตัวเองว่า "วันนี้ ดีกว่า เมื่อวานไหม" คำตอบ
มีทั้งดีกว่า
และแย่กว่า

บางเรื่องอยากสานต่อ จากแนวคิด แผนการณ์ในอดีตที่เคยทำไว้ ให้บรรลุเป้าหมาย
แต่ก็รู้ว่า ยังอีกไกล แต่ถามว่าเป็นสิ่งที่ดีไหม ขณะนี้ก็ตอบว่า "ใช่"
แต่ถ้าถามต่อว่า
ต่อไป ข้างหน้า จะตอบแบบนี้ไหม ก็คงตอบว่า "ไม่รู้" ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ "โลกเปลี่ยนแปลง"
ก็คงตอบได้แค่นั้น แต่ถ้าถามว่า จะทำไหม มีศรัทธาในสิ่งนี้อยู่หรือเปล่า ก็ยังตอบว่า "ยังมี"
และน่าจะยังทำอยู่ แม้จะไม่รู้ว่า อนาคตจะเป็นเช่นไร วันนี้ยังดีกว่า เมื่อวาน

สิ่งที่แย่กว่า เมื่อวาน ก็พยายามนำมาปัดผุ่น/ปรับปรุง ให้มันดีขึ้น
แล้วก็ถามมันทุกวันว่า "ดีขึ้นหรือยัง" ปรับ...แก้...เปลี่ยน จนดีให้ได้
และก็คงใช้ คำว่า "พยายาม" กันต่อไป นั่นแหละ

ท้อได้ แต่ไม่ถอย ถอยได้แต่ยังทน......




ใครท้อ...ท้อ ถอย..ถอย ก็ลองใช้วิธีนี้ดู

ทน...ทน อดทน ถามตัวเองบ่อย ๆ เมื่อท้อ...หรือเมื่อ จะถอย...ถอย
“ครั้งแรกสุดเรารู้สึกกับสิ่งนี้อย่างไร” “ทำไมเราจึงเลือกสิ่งนี้” ทำไมเราจึงมีเป้าหมายนี้”
บอกตัวเองว่า “อุปสรรค...ทำให้เราเข้มแข็ง แข็งแรงได้” แม้ว่าอุปสรรคแรง ๆ มาก ๆ จะทำให้ท้อในบางครั้ง แต่ย้อนกลับไปคิด ณ.วันแรก ความรู้สึกดี ๆ ต่าง ๆ ที่ลืมไปแล้ว ก็อาจจะค่อย ๆ ปรากฎออกมาให้เห็น
อดทนเถอะ มีศรัทธาในสิ่งที่เลือก ท้อได้ในบางเวลา ถอยได้ในบางครั้ง แต่สุดท้าย ทน...ทน...ทน เชื่อเถอะว่า ความสำเร็จที่ตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จก็จะมาถึงอย่างแน่นอน ไม่ช้า ก็เร็ว
โปรดจำไว้ว่า อดทน...และศรัทธา จะเป็นยาวิเศษ ให้หายขาดจากโรคท้อ...ถอย
สักวันหนึ่ง...เส้นทางที่เลือก ก็คงจะไปถึง
สักวันหนึ่ง...เป้าหมายที่เลือก ก็คงไปถึงเอง
สักวันหนึ่ง...สิ่งที่อยากได้ ก็คงจะได้เอง

พลังแห่งความศรัทธา...




คุณเชื่อพลังแห่งความศรัทธาแค่ไหน คุณคิดว่าความศรัทธามีประโยชน์ต่อชีวิตคุณหรือไม่ คุณเคยเจอ อะไรบางอย่างในชีวิต แล้วแก้ไขด้วยพลังศรัทธาหรือไม่

ในทางตรงข้าม .... คุณเคยไม่ศรัทธาอะไรเลย ต่อให้จะดีแค่ไหน คุณไม่เคยเชื่อใจไว้ใจ และศรัทธาต่อสิ่งนั้น หรือคนนั้นเลย แม้กาลเวลา ก็ไม่อาจสร้างศรัทธาในใจคุณได้เลย คุณคิดและยึดติดกับคำว่า “ไม่เชื่อ....ไม่ไว้ใจ”, “ไม่ศรัทธา”, ไม่มีวันเชื่อใจได้
คุณเชื่อไหมว่า คนดี ๆ หลาย ๆ คนต้อง มลาย...หาย....เลิก เพราะถูกกระทำเช่นนี้ คุณเคยทำใครแบบนี้ หรือ ถูกกระทำไหม

คุณเคยเห็นไหมว่า “พลังแห่งศรัทธา” สร้าง คนสุดแย่ กลาย เป็น Super man หรือ Hero ยอดมนุษย์ ไปแล้วกาลเวลาเพียงไม่นาน

คุณเคยเห็นไหมว่า “พลังแห่งการไร้ศรัทธา” ได้ทำลาย ทำร้าย ผู้ที่คุณคิดว่ารัก หรือใกล้ชิดด้วย ทำให้หมดกำลังใจ ท้อแท้ หรือถึงกับตกต่ำ อย่างที่ชีวิตไม่เคยเป็นมาก่อน

คุณเอาอะไรมาวัด “ค่าแห่งความศรัทธา” และ “ไร้ศรัทธา” ที่คุณจะมอบให้กับใคร มาตราฐานในการวัดว่า คน ๆ นี้น่าจะได้ ศรัทธา ความไว้วางใจ จากคุณ คนนี้ไม่ควรได้รับ ความไว้วางใจ อะไรเป็นมาตรฐานในการกำหนด “ค่าแห่งความศรัทธา” หล่ะ

เมล็ดพันธุ์พืชที่ดี เพาะปลูกบนพื้นที่ดินที่ดี ย่อมอุดมสมบูรณ์ ส่วนเมล็ดพันธุ์ไม่ดีปลูกในพื้นที่ดี ได้รับการเอาใจใส่ ก็เป็นพืชที่เติบโตได้

ถ้าเมล็ดพันธุ์ที่ดี อยู่บนพื้นที่ไม่ดี ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ เติบโตได้อย่างไร ไม่ต้องกล่าวถึงเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีอีกเลย ย่อมไม่มีโอกาสอย่างแน่นอน

เปรียบ “ความศรัทธา” เป็นพื้นที่ที่ดี และดูแลเอาใจใส่ และ “ความไม่ศรัทธา” เป็นพื้นที่ไม่ดี และไม่เอาใจใส่

อยากถามว่า “ศรัทธา” แค่คำเดียว ทำอยากมากหรือไง....

มีความอดทน...



"หญ้าแม้เป็นพืชต้นเล็กๆ แต่เพราะมีความทนทรหด จึงสามารถแพร่พันธุ์ไปได้ทั่วโลกฉันใด คนเราแม้กำลังทรัพย์ กำลังความรู้ ความสามารถจะยังน้อย แต่ถ้ามีความอดทนแล้ว ย่อมสามารถฝึกฝนตนเอง ให้ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิตได้ฉันนั้น"

ความอดทนคืออะไร ?
ความอดทน มาจากคำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ซึ่งไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะมีคนเทอะไรลงไป ของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม
งานทุกชิ้นในโลกไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ ที่สำเร็จขึ้นมาได้นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนำแล้ว ล้วนต้องอาศัยคุณธรรมอันหนึ่งเป็นพื้นฐานจึงสำเร็จได้ คุณธรรมอันนั้นคือ ขันติ
ถ้าขาดขันติเสียแล้ว จะไม่มีงานชิ้นใดสำเร็จได้เลย เพราะขันติเป็นคุณธรราสำหรับทั้งต่อต้านความท้อถอยหดหู่ ขับเคลื่อนเร่งเร้าให้เกิดความขยัน และทำให้เห็นอุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องท้าทายความสามารถ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของงานทุกชิ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม คืออนุสาวรีย์ของขันติทั้งสิ้น
โดยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ยกเว้นปัญญาแล้ว เราสรรเสริญว่าขันติเป็นคุณธรรมอย่างยิ่ง” ลักษณะความอดทนที่ถูกต้อง
๑.มีความอดกลั้น คือ เมื่อถูกคนพาลด่า ก็ทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ทำหูเหมือนหูกระทะ เมื่อเห็นอาการยั่วยุ ก็ทำราวกับว่าไม่ได้เห็น ทำตาเหมือนตาไม้ไผ่ ไม่สนใจใยดี ไม่ปล่อยใจให้เศร้าหมองไปด้วย ใส่ใจ สนใจ แต่ในเรื่องที่จะทำความเจริญให้แก่ตนเอง เช่น เจริญศีล สมาธิ ปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
๒.เป็นผู้ไม่ดุร้าย คือ สามารถข่มความโกรธไว้ได้ ไม่โกรธ ไม่ทำร้ายทำอันตรายด้วยอำนาจแห่งความโกธนั้น ผู้ที่โกรธง่ายแสดงว่ายังขาดความอดทน มีคำตรัสของท้าวสักกะ เป็นข้อเตือนใจอยู่ว่า “ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธก่อนแล้ว ผู้นั้นกลับเป็นคนเลวกว่า ผู้ที่โกรธก่อน ผู้ที่ไม่โกรธต่อบุคคลผู้กำลังโกรธอยู่ ย่อมชื่อว่า เป็นผู้ชนะสงครามอันชนะได้ยากยิ่ง” ๓.ไม่ปลูกน้ำตาให้แก่ใครๆ คือ ไม่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเจ็บแค้นใจจนน้ำตาไหลด้วยอำนาจความเกรี้ยวกราดของเรา
๔.มีใจเบิกบานแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์ คือ มีปีติอิ่มเอิบใจเสมอๆ ไม่พยาบาท ไม่โทษฟ้า โทษฝน โทษเทวดา โทษโชคชะตา หรือโทษใครๆ ทั้งนั้น พยายามอดทนทำการงานทุกอย่างด้วยใจเบิกบาน
ลักษณะความอดทนนั้น โบราณท่านสอนลูกหลานไว้ย่อๆ ว่า “ปิดหูซ้ายขวา ปิดตาสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง นอนนั่งสบาย” คนบางคนขี้เกียจทำงาน บางคนขี้เกียจเรียนหนังสือ บางคนเกะกะเกเร พอมีผู้ว่ากล่าวตักเตือนก็เฉยเสีย แล้วบอกว่าตนเองกำลังบำเพ็ญขันติบารมี อย่างนี้เป็นการเข้าใจผิด ตีความหมายของขันติผิดไป ขันติไม่ได้หมายถึงการตกอยู่ในสภาพใดก็ทนอยู่อย่างนั้น
“พวกที่จน ก็ทนจนต่อไป ไม่ขวนขวายทำมาหากิน จัดเป็นพวกตายด้าน”
“พวกที่โง่ ก็ทนโง่ไป ใครสอนให้ก็ไม่เอา จัดเป็นพวก ดื้อด้าน”
“พวกที่ชั่ว แล้วก็ชั่วอีก ใครห้ามก็ไม่ฟัง จัดเป็นพวก ดื้อดึง”
ลักษณะที่สำคัญยิ่งของขันติ คือ ตลอดเวลาที่อดทนอยู่นั้น จะต้องมีใจผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
เราสรุปลักษณะของขันติโดยย่อ ได้ดังนี้
๑.อดทนถอนตัวหรือหลีกเลี่ยงจากความชั่วให้ได้
๒.อดทนทำความดีต่อไป
๓.อดทนรักษาใจไว้ไม่ให้เศร้าหมอง

ประเภทของความอดทน
ความอดทนแบ่งตามเหตุที่มากระทบได้เป็น ๔ประเภทคือ
๑.อดทนต่อความลำบากตรากตรำ เป็นการอดทนต่อสภาพธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ความหนาว ความร้อน ฝนตก แดดออก ฯลฯ ก็อดทนทำงานเรื่อยไป ไม่ใช่เอาแต่โทษเทวดาฟ้าดิน หรืออ้างเหตุเหล่านี้แล้วไม่ทำงาน
๒.อดทนต่อทุกขเวทนา เป็นการอดทนต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยความไม่สบายกายของเราเอง ความปวด ความเมื่อย ผู้ที่ขาดความอดทนประเภทนี้ เวลาเจ็บป่วย จะร้องครวญคราง พร่ำเพ้อรำพัน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ผู้รักษาพยาบาลทำอะไรไม่ทันใจหรือไม่ถูกใจ ก็โกรธง่ายพวกนี้จึงต้องป่วยเป็น ๒ เท่า คือ นอกจากจะป่วยกายที่เป็นอยู่แล้ว ยังต้องป่วยใจแถมเข้าไปด้วย ทำตัวเป็นที่น่าเบื่อหน่ายแก่ชนทั้งหลาย
๓.อดทนต่อความเจ็บใจ เป็นการอดทนต่อความโกรธ ความไม่พอใจ ความขัดใจ อันเกิดจากคำพูดที่ไม่ชอบใจ กิริยามารยาทที่ไม่งาม การบีบคั้นทั้งจากผู้บังคับบัญชาและลูกน้อง ความอยุติธรรมต่างๆ ในสังคม ระบบงานต่างๆ ที่ไม่คล่องตัว ฯลฯ
คนทั้งหลายในโลกแตกต่างกันมากโดยอัธยาสัยใจคอ โอกาสที่จะได้อย่างใจเรานั้นอย่าพึงคิด เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มเข้าหมู่คนหรือมีคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ให้เตรียมขันติไว้ต่อต้านความเจ็บใจ
๔.อดทนต่ออำนาจกิเลส เป็นการอดทนต่ออารมณ์อันน่าใคร่น่าเพลิดเพลินใจ อดทนต่อสิ่งที่เราอยากทำ แต่ไม่สมควรทำ เช่น อดทน ไม่เที่ยวเตร่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เสพสิ่งเสพย์ติด ไม่รับสินบน ไม่คอรัปชั่น ไม่ผิดลูกเมียเขา ไม่เห่อยศ ไม่บ้าอำนาจ ไม่ขี้โอ่ ไม่ขี้อวด เป็นต้น
การอดทนข้อนี้ทำได้ยากที่สุด โบราณเปรียบไว้ว่า “เขาด่าแล้วไม่โกรธ ว่ายากแล้ว เขาชมแล้วไม่ยิ้ม ยากยิ่งกว่า” วิธีฝึกให้มีความอดทน
๑.ต้องคำนึงถึงหิริโอตตัปปะให้มาก เมื่อมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปอย่างเต็มที่ ความอดทนย่อมจะเกิดขึ้น ดังตัวอย่างในเรื่องของพระเตมีย์ใบ้
เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ มีอยู่ชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นโอรสกษัตริย์นามว่าพระเตมีย์ ขณะอายุได้ ๖-๗ ขวบ ได้เห็นพระราชบิดาสั่งประหารโจรโดยใช้ไฟครอกให้ตาย ด้วยบุญบารมีที่ทำมาดีแล้ว ทำให้พระเตมีย์ระลึกชาติได้ว่าภพในอดีตพระองค์ก็เคยเป็นกษัตริย์ และก็เคยสั่งประหารโจร ทำให้ต้องตกนรกอยู่ช้านาน จึงคิดว่า ถ้าชาตินี้เราต้องเป็นกษัตริย์อีก ก็ต้องฆ่าโจรอีก แล้วก็จะตกนรกอีก
ตั้งแต่วันนั้นมา พระเตมีย์จึงแกล้งทำเป็นใบ้ ทำเป็นอ่อนเปลี้ยเสียขาไม่ขยับเขื้อนร่างกายพระราชบิดาจะเอาขนมเอาของเล่นมาล่อ ก็ไม่สนใจ จะเอามดมาไต่ ไรมากัด เอาไฟมาเผารอบตัวให้ร้อน เอาช้างมาทำท่าจะแทงก็เฉย ครั้งถึงวัยหนุ่ม จะเอาสาวๆ สวยๆ มาล่อ ก็เฉยเพราะคำนึงถึงภัยในนรก หิริโอตตัปปะเกิดขึ้นเต็มที่ จึงมีความอดทนอยู่ได้
นานวันเข้าพระราชบิดาเห็นว่า ถ้าเอาพระเตมีย์ไว้ก็จะเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง จึงสั่งให้คนนำไปประหารเสียนอกเมือง เมื่อออกมาพ้นเมืองแล้ว พระเตมีย์ก็แสดงตัวว่าไม่ได้พิการแต่อย่างใด มีพละกำลังสมบูรณ์พร้อม แล้วก็ออกบวช ต่อมาพระราชบิดา ญาติพี่น้อง ประชาชนก็ได้ออกบวชตามไปด้วยและได้สำเร็จฌานสมาบัติกันเป็นจำนวนมาก
๒.ต้องรู้จักเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น คือ นึกเสียว่า ที่เขาทำแก่เราอย่างนั้นน่ะดีแล้ว เช่น เขาด่า ก็นึกเสียว่าดีกว่าเขาตี เขาตีก็นึกเสียว่าดีกว่าเขาฆ่า เมียที่มีชู้ยังดีกว่าเมียที่ฆ่าผัว ผัวมีเมียน้อยก็ยังดีกว่าผัวที่ฆ่าเมียเพราะเห็นแก่หญิงอื่น ถ้าเปรียบกับการชกมวย การสู้แบบนี้ก็คือการหลบหมัดของคู่ต่อสู้ โดยวิธีหมอบลงต่ำให้หมัดเขาคร่อมหัวเราไปเสีย เราไม่เจ็บตัว ตัวอย่างในเรื่องนี้ ดูได้จากพระปุณณะเถระ
พระปุณณะเดิมเป็นชาวสุนาปรันตะ ไปค้าขายที่เมืองสาวัตถีได้ฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงออกบวช
ครั้นบวชแล้วการทำสมาธิภาวนาไม่ได้ผล เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ ท่านคิดว่าภูมิอากาศที่บ้านเดิมของท่านเหมาะกับตัวท่านมากกว่า จึงทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับสั่งถามว่า
“เธอแน่ใจหรือ ปุณณะ, คนชาวสุนาปรันตะนั้นดุร้ายมากนักทั้งหยาบคายด้วย เธอจะทนไหวหรือ”
“ไหวพระเจ้าข้า”
“นี่ปุณณะ ถ้าคนพวกนั้นเขาด่าเธอ เธอจะมีอุบายอย่างไร”
“ข้าพเจ้าก็จะคิดว่าถึงเขาจะด่าก็ยังดีกว่าเขาตบต่อยด้วยมือพระเจ้าข้า”
“ถ้าเผื่อเขาต่อยเอาล่ะ ปุณณะ”
“ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาก้อนดินข้วางเอา”
“ก็ถ้าเขาเอาก้อนดินขว้างเอาล่ะ”
“ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาไม้ตะพดตีเอา”
“เออ ถ้าเผื่อเขาหวดด้วยตะพดล่ะ”
“ก็ยังดีพระเจ้าค่ะ ดีกว่าถูกเขาแทงหรือฟันด้วยหอกดาบ”
“เอาล่ะ ถ้าเผื่อคนพวกนั้นเขาจะฆ่าเธอด้วยหอกด้วยดาบล่ะ ปุณณะ”
“ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า มันก็เป็นการดีเหมือนกัน พระเจ้าข้า”
“ดีอย่างไร ปุณณะ”
“ก็คนบางพวกที่คิดอยากตาย ยังต้องเสียเวลาเที่ยวแสวงหาศัสตราวุธมาฆ่าตัวเอง แต่ข้าพระองค์ มีโชคดีกว่าคนพวกนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวหาศัสตราวุธอย่างเขา”
“ดีมาก ปุณณะ เธอคิดได้ดีมาก เป็นอันตกลง เราอนุญาตให้เธอไปพำนักทำความเพียร ที่ตำบลสุนาปรันตะได้”
พระปุณณะกลับไปเมืองสุนาปรันตะแล้ว ทำความเพียร ในไม่ช้าใจก็หยุดนิ่ง เข้าถึงพระธรรมกายไปตามลำดับ จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นี่คือเรื่องของพระปุณณะ นักอดทนตัวอย่าง ซึ่งอดทนได้โดยวิธีเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น
๓.ต้องฝึกสมาธิมากๆ เพราะทั้งขันติและสมาธิเป็นคุณธรรมที่เกื้อหนุนกัน ขันติจะหนักแน่นก็ต้องมีสมาธิมารองรับ สมาธิจะก้าวหน้าก็ต้องมีขันติเป็นพื้นฐาน ขันติอุปมาเหมือนมือซ้าย สมาธิอุปมาเหมือนมือขวา จะล้างมือ มือทั้งสองข้างจะต้องช่วยกันล้าง จึงจะสะอาดดี
มีตัวอย่างของผู้มีความอดทนเป็นเลิศอีกท่านหนึ่ง คือ พระโสมสนาคเถระ
พระโสมสนาคเถระ เป็นพระที่ทำสมาธิจนสามารถระลึกชาติได้แต่ยังไม่หมดกิเลส วันหนึ่งท่านนั่งสมาธิอยู่กลางแจ้ง พอถึงตอนเที่ยงแดดส่องเหงื่อไหลท่วมตัวท่าน พวก
ลูกศิษย์จึงเรียนท่านว่า “ท่านขอรับ นิมนต์ท่านนั่งในที่ร่มเถิด อากาศเย็นดี” พระเถระกล่าวตอบว่า “คุณ ฉันนั่งในที่นี้ เพราะกลัวต่อความร้อนนั่นเอง” แล้วมานั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไป เพราะเคยได้ตกนรกมาหลายชาติ เห็นว่าความร้อนในอเวจีที่เคยตก ร้อนกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า ท่านจึงไม่ลุกหนี ตั้งใจทำสมาธิต่อไป จนในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
พวกเราก็มีข้อคิดเตือนใจอยู่ว่า
“ที่อ้างร้อนนัก หนาวนัก ขี้เกียจภาวนา ระวัง จะไปร้อนหมกไหม้ในอเวจี หนาวเสียดกระดูกในโลกันต์”

อานิสงส์การมีความอดทน
๑.ทำให้กุศลธรรมทุกชนิดเจริญขึ้นได้
๒.ทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
๓.ทำให้ตัดรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งหลายได้
๔.ทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ทุกอิริยาบท
๕.ชื่อว่าได้เครื่องประดับอันประเสริฐของนักปราชญ์
๖.ทำให้ศีลและสมาธิตั้งมั่น
๗.ทำให้ได้พรหมวิหารโดยง่าย
๘.ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย “บุคคลอดทนต่อคำของผู้สูงกว่าได้ เพราะความกลัว อดทนถ้อยคำของผู้เสมอกันได้ เพราะเหตุแห่งความแข่งดี ส่วนผู้ใดในโลกนี้ อดทนต่อคำของคนเลวกว่าได้ สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่า ความอดทนนั้นสูงสุด”

(พุทธพจน์)

15 มิ.ย. 2554

แอบรักเพื่อนจะบอกให้รู้ดีไหม....




ดูหนังมาก็แยะ เรื่องเพื่อนแอบรักเพื่อน ไม่ว่าจะเป็น “รักสามเศร้า”,“เพื่อนสนิท”,”เพื่อนกูรักมึงว่ะ (ที่ตัวหนังไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเพื่อนเท่าไร),”My Best Friends Wedding” (เก่าไปไหมเนี่ย) หรือว่าเพลงที่เกี่ยวกับแอบรักเพื่อน “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม”,”ช่างไม่รู้เลย”,”เพื่อน” และอีกหลายๆเพลงที่มักจะดังแล้วก็โดนใจแก๊งค์คนแอบรักเพื่อน แล้วคุณล่ะ จะบอกหรือไม่บอกถ้าคุณมีความรู้สึกนี้



สาเหตุ ความรักเป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร คนที่ชอบเรา เราก็มักจะไม่ชอบ คนที่เรารักก็มักจะไม่รักเรา สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการรักเพื่อนก็น่าจะมีดังนี้



1.คบกันเป็นเพื่อนจนเห็นความดีของเพื่อนว่า เออ มันดีวะ ถ้าได้เป็นแฟนก็คงจะมีความสุข



2.เหลียวซ้ายแลขวาหาใครไม่เจอ ก็มีเพื่อนคนนี้แหล่ะที่เข้าท่าที่สุด



3.ความผูกพันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกกับความรัก เพราะมักจะอยู่คู่กัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังแต่ก็เป็นสิ่งสำคัญ







อาการ ทำยังดีล่ะเมื่อตกหลุมรักเพื่อน อาการคุณก็จะแสดงออกมาเหมือนคนตกหลุมรักทั่วไป ที่อยากจะคุยด้วย อยากเจอหน้า อยากทำอะไรพิเศษๆให้ มีความรู้สึกห่วงใยมากกว่าเพื่อนทั่วๆ ไป ที่สำคัญถ้ากลุ่มเพื่อนคุณเป็นกลุ่มใหญ่คุณก็อยากจะแยกตัวออกมาเพื่อจะไปกันแค่สองคน ถ้าเริ่มมีอาการนี้ก็ชัดเลยว่าคุณตกหลุมรักเพื่อนแล้ว







ปัจจัยในการสารภาพ ถึงขั้นตอนสำคัญเมื่อคุณรู้ตัวแล้วว่าแอบรักเพื่อนคุณจะทำยังไงกับความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของคุณ ปัจจัยก็คือเพื่อนคุณมีแฟนอยู่แล้วรึเปล่า ถ้ามีอยู่ก็ยังไม่ควรหรือบางครั้งคุณอาจจะไม่แคร์แล้วก็ได้ว่าเพื่อนมีแฟนอยู่รึเปล่า ระยะเวลาที่คบกันมา ถ้าผ่านมานานหลายปีแล้วเพื่อนคุณมีแฟนมาแล้วหลายคน คุณก็ยังไม่กล้าสารภาพซักทีจนคุณทนต่อไปไม่ได้แล้ว จนต้องสารภาพ ไม่งั้นคงต้องทนเห็นภาพปวดใจเวลาที่เพื่อนที่คุณรักมีแฟนใหม่ไปเรื่อยๆ







ผลที่ตามมา คงไม่มีใครบอกได้ว่าชีวิตจริงจะเหมือนนิยาย หรือเน่ากว่าในนิยาย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงไม่ได้ต่างกันไปมาก “เราคิดกับ...แค่เพื่อน” คำตอบนี้ก็คือการปฎิเสธแบบนุ่มนวลแต่คนฟังหัวใจจะวาย ก็จะมีประโยคฮิตจากหนัง”ม.3 ปี4 เรารักนาย”ตอบกลับไปว่า “คนเราถ้าได้รักใครแล้วมันเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก” “เราก็แอบชอบ...เหมือนกัน” หรือ “ลองคบกันดูก็ได้” ก็น้ำเน่ากันไป ใจตรงกัน ใครเคยได้ยินคำตอบนี้ก็คงจะมีความสุขกันไป







คำตอบที่ได้ยินหลังการสารภาพรักมันก็มีอยู่แค่สองอย่างแหล่ะ ผิดหวังกับสมหวัง แต่ในกรณีนี้ คุณอาจจะอยู่ใน สถารณ์การที่กระอักกระอ่วนไม่อยากเสียเพื่อนไป แต่เชื่อเรื่องหนึ่งเถอะครับต่อให้คุณจะต้องเสียเพื่อนไปจากเหตุการณ์อย่างนี้ เวลาจะทำให้คุณทั้งสองคนกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีกันได้ เพราะคำว่าเพื่อนตัดกันไม่ขาดหรอก ในวันนึงข้างหน้า คุณอาจจะได้กลับมาพบกัน และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไปจนชั่วชีวิต “ความรู้สึกในใจถ้าไม่พูดไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก”


ขอบคุณข้อมูล : Teenee.com

ทายใจ..จากรูปที่เราวาด





รูปหน้าคน
คนที่ชอบวาดรูปใบหน้าคนอยู่เสมอๆนั้น
บ่งบอกว่าเป็นคนที่คิดมากและค่อนข้างจะซีเรียส
มักมีความลับซ่อนไว้ในใจเสมอ ไม่ใช่คนที่ชอบเปิดเผย
และในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ไม่กล้าเผชิญกับความเป็นจริงอีกด้วย

รูปวงกลม
คนที่ชอบวาดรูปวงกลมนั้นจะเป็นคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวมาก
มีความสุขกับการได้อยู่คนเดียวไม่ชอบการพบปะกับใครมากนัก
ทั้งยังเป็นคนที่รักบ้านและครอบครัวมากจะชอบอยู่
ในสถานที่ที่คุ้นเคยและให้ความรู้สึกปลอดภัย

รูปสามมิติหรือลูกบาศก์
ส่วนคนที่ชอบวาดรูปที่มีลักษณะเป็นภาพสามมิติ
บ่งบอกถึงการเป็นคนที่ชอบการวิเคราะห์หาเหตุผล
มักมีความคิดที่แปลกและ แตกต่างจากคนรอบข้างอยู่เสมอๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็มีความลึกซึ้งทางด้านความคิดต่อสิ่งต่างๆรอบตัว

รูปลูกศร
ส่วนคนที่ชอบวาดรูปลูกศรหรือลูกธนูมักเป็นคนที่มีนิสัยเปิดเผย
แต่ค่อนข้างจะใจร้อนอยู่สักหน่อยเป็นคนชอบวางแผน
และมีเป้าหมายในชีวิตเสมอและมีความมุ่งมั่นที่จะ
ก้าวไปถึงจุดหมายของตนโดยเร็ว ไม่สนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ

รูปเครื่องหมายถูก
สำหรับคนที่ชอบเขียนรูปเครื่องหมายถูกนั้น
อุปนิสัยจะเป็นคนที่รักความเป็นอิสระมาก
ชอบทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง
โดยไม่ยอมพึ่งพาใครเลยและยังเป็นคนที่
เชื่อมั่นในตัวเองสูง ชอบการได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง

รูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
คนที่ชอบวาดรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสจะเป็นคนที่มีนิสัยเรียบๆง่ายๆ
ค่อนข้างติดดินไม่ชอบการเพ้อฝันแต่จะยืนอยู่บนความจริงของชีวิต
นอกจากนี้เมื่อคิดกระทำการใดๆก็มักจะลงมือทำ
อย่างทันทีและเป็นนักปฏิบัติที่ดีได้มากกว่านักคิด

รูปขั้นบันได
คนที่ชอบเขียนรูปขั้นบันไดนั้นเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน
ในชีวิตมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนใจเย็น
รู้จักการรอคอยและชอบทำงานอย่างมีขั้นตอน
ทั้งยังเป็นคนที่ชอบการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

รูปแรเงา
ส่วนคนที่วาดรูปที่มีลักษณะของการแรเงามากๆนั้น
มักเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองมากและจะมีความเป็นนักคิดที่ลึกซึ้ง
ให้ความ สนใจในแนวคิดของคนและ
การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับสังคมการเมือง

รูปใยแมงมุม
สำหรับรูปใยแมงมุมนั้นบ่งบอกถึงนิสัยของคนที่ให้
ความสำคัญต่อเรื่องฐานะความเป็นอยู่ของตนเองมาก
มีความพยายามสูงที่จะยกระดับชีวิตของตนให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ชอบการปรับปรุงและพัฒนาตนเองเสมอ

รูปบ้าน
สำหรับคนที่ชอบวาดรูปบ้านนั้นออกจะเป็นคนที่มีอารมณ์
หลากหลายมากทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้เร็วแต่ก็จะใจกว้างเปิดเผยตัวเอง
ชอบช่วยเหลือผู้คน และหาความสนุกสนานให้ชีวิต
โดยเฉพาะการได้เดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ

รูปดอกไม้
คนที่ชอบวาดรูปดอกไม้นิสัยมักจะเป็นคนใจอ่อน
มีความสุภาพเรียบร้อยและยังเป็นคนที่มีรู้สึกไวต่อสิ่งรอบตัว
นอกจากนี้ยังเป็น คนที่โรแมนติกและช่างจำมาก
โดยเฉพาะวันพิเศษของคนรอบข้างที่มักมีของขวัญมอบให้เสมอ

รูปหัวใจ
คนที่ชอบวาดรูปหัวใจนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ช่างฝัน
และละเอียดอ่อนเอามากๆจะให้ความสำคัญ
กับเรื่องความรู้สึกเสมอทั้งยังอ่อนไหว ร้องไห้ได้ง่ายๆ
กับสิ่งสะเทือนใจเป็นคนที่ชอบความรัก
จนบางครั้งถึงกับหมกมุ่นเลยทีเดียว

รูปสี่เหลี่ยมซ้อนกัน
สำหรับรูปสี่เหลี่ยมหลายรูปซ้อนกันนั้น
บ่งบอกถึงนิสัยของคนที่ชอบวาดว่าเป็นคนที่ชอบการพึ่งพาตัวเอง
และในขณะเดียวกันก็สามารถเป็นที่พึ่งพิง
ของคนรอบข้างได้ดีนอกจากนี้ยังเป็น
คนที่มีความเข้มแข็งและกล้าตัดสินใจ

รูปก้อนเมฆ
คนที่ชอบวาดรูปก้อนเมฆนั้นมักมีนิสัยอ่อนโยน
อ่อนหวานและสุภาพเรียบร้อย ชอบช่วยเหลือผู้คนเสมอ
มองคนทุกคนในแง่ดีชอบทำอะไรเพื่อคนอื่น เช่น ส่งเสริมคนรอบข้าง
ให้ก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่าโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ

รูปดวงดาว
ส่วนรูปดวงดาวนั้นเป็นรูปที่บ่งบอกว่านิสัยของคนวาดนั้น
เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมากจนดูเป็นคนที่ดื้อรั้นและอวดดี
แต่ก็จะเป็นคนที่มีความมานะพากเพียรมาก
ในการทำให้สิ่งที่ตนตั้งใจไว้ประสบความสำเร็จ

รูปดวงอาทิตย์
คนที่ชอบวาดรูปดวงอาทิตย์นั้นบ่งบอกถึง
คนที่มีความหวังในชีวิตเสมอจะไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ
ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆนอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงการเป็นคนที่มีพลัง
ทำงานเก่งและมีความเป็นผู้นำด้วย

รูปตัวตลก
คนที่ชอบวาดรูปตัวตลกนั้นมักจะเป็นคนที่มีจินตนาการ
ชอบการพูดคุยเล่าเรื่องให้ฟังดูเหลือเชื่อเกินจริง
และยังเป็นคนที่ชอบการแสดงออกเสียด้วยบุคลิก
ก็มักจะดูเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใส ยิ้ม
หัวเราะง่ายและดึงดูดใจคนเสมอ

รูปตุ๊กตาของเล่นต่างๆ
คนที่ชอบวาดรูปตุ๊กตาที่เป็นของเล่นสำหรับเด็กๆนั้น
สามารถบ่งบอกได้ถึงนิสัยที่เป็นกันเองอบอุ่น
และเป็นมิตรกับทุกๆคนทั้งยังเป็นคนที่ต้องการความรักมากๆ
ชอบการแสดงออกที่เปิดเผยไม่ชอบความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา

รูปกำแพง
คนที่ชอบวาดรูปกำแพงนั้นบ่งบอกถึงการเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็ง
เป็นคนพูดจริงทำจริงแต่ออกจะเข้มงวดมีระเบียบกฎเกณฑ์
มากไปสักหน่อย นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ต้องการ
ความมั่นคงให้กับชีวิตสูงและชอบการได้ครอบครองเป็นเจ้าของ

รูปเครื่องบิน
คนที่ชอบวาดรูปเครื่องบินนั้นจะเป็นคนที่รักอิสรภาพมาก
ชอบการเดินทางท่องเที่ยวหรือไม่ก็มีความใฝ่ฝัน
ที่จะเดินทางไปในที่ไกลๆสักแห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน
ก็บอกถึงการเป็นคนที่ไม่อาจยอมรับกับความจริงที่เจ็บปวดได้ด้วย

รูปเครื่องหมายกากบาทหรือกางเขน
สำหรับคนที่ชอบวาดรูปเครื่องหมายกากบาทหรือ
เครื่องหมายกางเขนนั้น มักเป็นคนที่เชื่อมั่นในศาสนามาก
ยึดมั่นในคุณธรรม ความดี ทั้งยังบอกถึง
การเป็นคนที่ชอบเสียสละช่วยเหลือ
ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนอีกด้วย

รูปเส้นลวดสปริง
เป็นอีกรูปที่คนทั่วไปจะชอบวาดกันเวลาเผลอๆหรือใจลอย
คนที่ชอบวาดรูปแบบนี้บอกถึงการเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะ
เข้าสังคมเก่งวางตัวเป็นทั้งกับคนที่ด้อยกว่าและเหนือกว่า
นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความสามารถในการจัดการอีกด้วย

รูปแจกันใส่ดอกไม้
สำหรับรูปแจกันใส่ดอกไม้นั้นต้องดูเรื่อง
การจัดวางดอกไม้ลงในแจกันด้วย
ซึ่งถ้ามีดอกไม้เพียงดอกเดียวในแจกันนั้นก็จะบอก
ถึงนิสัยที่ฉลาดเฉลียวและมีความเด็ดเดี่ยวของคนวาด
ทั้งยังเป็นคนที่รอบคอบทำทุกอย่างโดยผ่านการใคร่ครวญที่ดี
นอกจากนี้ยัง เป็นคนที่รักความสงบและสันติมากๆด้วย
ในขณะที่ถ้าเป็นภาพแจกันที่มีดอกไม้อยู่ในนั้นหลายๆดอก
และถูกปักไว้ในแจกันนั้น อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ก็จะบอกถึงการเป็นคนช่างฝัน มีจินตนาการที่กว้างไกล
และยังมีความสามารถในเชิงสร้างสรรค์อีกด้วย
แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบความสนุกสนานชอบตามใจตัวเองมาก
และถ้าเป็นภาพแจกันที่มีดอกไม้ปักอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ
ก็บอกถึงการเป็นคนสบายๆอารมณ์ดี มีเสน่ห์เฉพาะตัว

รูปตัวเลข
สำหรับคนที่ชอบรูปตัวเลขทั่วไปนั้นบอกถึงนิสัยที่สนใจ
ในเรื่องเงินๆทองๆมากเป็นพิเศษและเป็นคนที่ทำงานหนักมักมี
ปรัชญาในชีวิตทำนองว่างานคือเงิน เงินคืองานแต่ในขณะเดียวกัน
ก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุค่อนข้างมากจนลืมนึกถึงสุขภาพ
และร่างกายจิตใจของตน และในกรณีที่ชอบเขียนเลข 1 มากกว่า
ตัวเลขไหนๆล่ะก็บอกถึงการเป็นคนที่มั่นใจตัวเองมาก
จนอาจถึงขั้นหลงตัวเองเลยทีเดียวและเช่นเดียวกัน
ถ้าใครชอบเขียนตัวเลข 2 มากกว่าตัวเลขอื่นๆ
ก็สามารถบอกถึงนิสัยของการเป็นคนที่ค่อนข้าง
ชอบดูถูกตัวเองและไม่มั่นใจในความสามารถที่ตนมีอยู่

รูปตัวอักษรชื่อย่อ
สำหรับคนที่ชอบเขียนตัวอักษรชื่อย่อของตน
ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือว่าภาษาอังกฤษก็ตาม
บอกถึงการชอบเป็นคนที่เสน่ห์และน่าประทับใจ
สำหรับคนรอบข้าง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนที่มั่นใจในตัวเองนัก
แต่ก็มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่ดีที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ


ขอบคุณข้อมูล : Teenee.com

คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล...



พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)


พ่อแม่นั้นมีอุปการคุณแก่เรามากมาย ในทางพระศาสนาท่านบรรยายไว้นานัปการ แม้กวีทั้งหลายก็ได้เขียนบรรยายกันไว้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปรากฏเป็นคำกลอนและคำประพันธ์ต่างๆ ที่บรรยายถึงคุณของบิดามารดา เพื่อให้ลูกได้รู้ตระหนักมองเห็นความสำคัญและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน

เมื่อว่าโดยย่อ ตามหลักพระศาสนา พ่อแม่นั้นทำหน้าที่สำคัญ คือ

1.ท่านห้ามปรามเราไม่ให้ทำความชั่วช้าเสียหาย ป้องกันเราไม่ให้ตกไปในทางที่ต่ำทรามมีอันตราย

2.ท่านสั่งสอนแนะนำเราให้ตั้งอยู่ในความดี ชักนำเราให้มุ่งไปในทางที่จะพบความสุขความเจริญ

3.ท่านให้เราได้เล่าเรียนศิลปวิทยามีความรู้ที่จะไปประกอบอาชีพการงานเพื่อตั้งตัวให้เป็นหลักฐานต่อไป

4.ถึงเวลาถึงวัยที่จะมีครอบครัวท่านก็เป็นธุระเอาใจใส่จัดแจงช่วยเหลือ โดยรับที่จะทำด้วยความเต็มใจ

5.ทรัพย์สมบัติของท่าน ก็เป็นของลูกนั่นเอง ซึ่งท่านจะมอบให้ในเวลาอันสมควรเป็นระยะๆ ไป จนครั้งสุดท้ายที่เรียกว่ามรดก

ทั้งหมดนี้ เป็นที่รู้กันตามหลักการของพระศาสนา แต่ที่จริงนั้นท่านเพียงวางไว้ให้เป็นหัวข้อหรือรายการปฏิบัติที่สำคัญๆ เท่านั้น การปฏิบัติปลีกย่อย ยังมีอีกมากมาย รวมความก็คือ พ่อแม่นั้นทำทุกอย่างเพื่อลูกด้วยความรัก ว่าโดยคุณธรรมก็คือ การกระทำที่ออกมาจากพรหมวิหาร 4 ประการนั่นเอง คือ

1.ใจของพ่อแม่นั้นประกอบด้วยความรักความปรารถนาดีเอาใจใส่เลี้ยงดูลูกให้เจริญเติบโตและงอกงามมีความสุข คือเมตตา

2.ประกอบด้วยกรุณา มีความสงสาร คอยช่วยเหลือให้พ้นจากความยุ่งยากเดือดร้อน ช่วยแก้ไขปัญหาและปลดเปลื้องความทุกข์

3.มีมุทิตา คอยส่งเสริม ให้กำลังใจ และพลอยยินดีเมื่อลูกประสบความสำเร็จ ประสบความก้าวหน้า หรือทำความดีงามถูกต้อง

4.มีอุเบกขา ในเวลาที่สมควร เช่น เมื่อลูกจะต้องรับผิดชอบตัวเอง หรือควรรู้จักฝึกหัดทำอะไรด้วยตนเอง ท่านก็จะให้โอกาสแก่ลูกที่จะพัฒนาตัวเอง คือ ไม่ใช่จะทำให้ไปหมดทุกอย่างจนกระทั่งลูกทำอะไรไม่เป็น อันนี้เรียกว่า วางอุเบกขา

นี่คือหลัก พรหมวิหาร 4 เรารู้กันว่าพ่อแม่นั้น เป็นตัวอย่างของคนที่มีพรหมวิหารธรรม 4 ประการ แต่ในเรื่องนี้มีข้อสังเกตว่า เราเน้นกันมากในพรหมวิหารข้อที่ 1 เมื่อพูดถึงผู้ใหญ่ ว่าผู้ใหญ่จะต้องมีเมตตาแล้วก็มักจะตามด้วยข้อ 2 คือกรุณา ว่ามีเมตตากรุณา และบุคคลผู้มีเมตตากรุณา ที่แสดงออกอย่างชัดเจน ก็คือ พ่อแม่ของเรานี่แหละ

ข้อสังเกตสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ พ่อแม่ในเมืองไทยเรานี้แสดงเมตตา กรุณา และมุทิตา ได้ง่าย หรือพร้อมที่จะแสดงพรหมวิหาร 3 ข้อแรกนี้ได้ตลอดเวลา แต่มักวางอุเบกขาไม่เป็น หรือแม้แต่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดต่อข้ออุเบกขา ทำให้ลูกเติบโตอย่างไม่สมบูรณ์ เช่น ไม่รู้จักโต ทำอะไรไม่เป็น และไม่รู้จักรับผิดชอบ พรหมวิหารข้อสุดท้ายนี้จะปฏิบัติได้ถูกต้องจะต้องใช้ปัญญา จึงต้องศึกษาให้ดี ตอนแรกจะพูดเป็นแนวไว้ก่อน

พ่อแม่มีเมตตา ในยามปกติ เมื่อลูกเจริญเติบโตอยู่ดีตามที่ควรจะเป็น (เขาปกติ)

พ่อแม่มีกรุณา ยามลูกมีทุกข์ เช่น เจ็บป่วย หรือมีเรื่องลำบากเดือดร้อน (เขาตกต่ำ)

พ่อแม่มีมุทิตา ยามเมื่อลูกทำอะไรได้ดีมีสุขหรือประสบความสำเร็จ เช่นสอบได้ที่ดีๆ สอบเข้างานได้ หรือได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง (เขาขึ้นสูง)

แต่ในบางกรณี พ่อแม่ไม่อาจใช้เมตตา กรุณา หรือมุทิตา เพราะจะทำให้เกิดความเสียหาย เช่น อาจจะเสียหายแก่ชีวิตของลูกเอง หรือเสียธรรม ในกรณีอย่างนั้น จะต้องรู้จักวางอุเบกขา โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบ คือ

พ่อแม่มีอุเบกขา เมื่อลูกสมควรต้องรับผิดชอบการกระทำของเขา เช่น ลูกทำความผิด ลูกทะเลาะกัน พ่อแม่วางตัวเป็นกลาง เพื่อให้มีการพิจารณา วินิจฉัย ตัดสิน และให้เขาปฏิบัติหรือได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม

พ่อแม่มีอุเบกขา เมื่อลูกรับผิดชอบตนเองได้ เช่น เรียนจบแล้ว มีการงานทำเป็นหลักฐาน ออกเรือนมีครอบครัวของตัวเขาเองพ่อแม่รู้จักวางตัววางเฉย ไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรก แซงในชีวิตส่วนตัวของครอบครัวของเขา



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

9 สิ่งมงคลสำหรับชีวิต...




9 สิ่งมงคลสำหรับชีวิต


๑. ใจมงคล ทุกอย่างในชีวิตของคนเรานั้น " ใจ " นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาเราไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางทั้งที่ดีและไม่ดีได้ ดังนั้น การเริ่มมงคลใดๆ จึงควรเริ่มที่ " ใจ " ก่อนเป็นอันดับแรก นั่นคือ การทำจิตใจดีให้มีขึ้นทุกๆวัน วิธีง่ายๆคือ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาก็ไม่คิดเรื่องร้ายๆไปล่วงหน้า เช่น.. ไม่คิดว่าเราจะถูกนายด่าไปก่อนเพราะเมื่อวานทำผิด การคิดล่วงหน้าเช่นนั้นจะทำให้จิตใจเราขุ่นมัว ไม่แจ่มใส ถึงทำผิดจริงก็ต้องคิดว่าแก้ไขได้

ไม่บริโภคความโกรธเป็นอาหารเช้า คือ
ไม่คิดจับผิดหรือโมโหโทโสนับแต่ลุกจากเตียง
เช่น เช้ามาก็ไม่โมโหลูกที่ตื่นสาย
ไม่ยัวะภริยาที่ทำไข่ลวกเป็นไข่ต้ม ไม่ฉุนรถเมล์ที่ไม่จอดรับ ฯลฯ
แต่ให้เริ่มต้นทุกเช้าด้วยการ "คิดแต่เรื่องดีๆ "
จะทำให้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพลังบวกที่จะดึงดูดให้คนอยากเข้าใกล้
กลายเป็นคนมีเสน่ห์ เป็นมงคลข้อแรก

๒. วาจามงคล คือ การพูดจาดี
ซึ่ง " ดี " ในที่นี้หมายรวมถึง เนื้อหา ถ้อยคำน้ำเสียงที่ใช้เจรจาพาทีกับผู้อื่น
ทั้งคนใกล้ชิดที่เป็นญาติสนิทมิตรสหาย ผู้ร่วมงาน
รวมถึงคนไม่รู้จักที่เราต้องโอภาปราศรัยด้วย
พูดง่ายๆว่าให้ใช้ " วาจาภาษาดอกไม้ " กับทุกๆ คนทุกๆ ระดับ
และควรเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมชวนดมด้วย
เช่น ชมเขาว่า " วันนี้ คุณแต่งตัวสวยจังค่ะเหมือนสมัยคุณแม่ฉันยังสาว " เช่นนี้
คงเป็นดอกอุตพิด ที่กลิ่นเหมือนอุจจาระทำให้คนฟังคิดแช่งชักหักกระดูก
ด่าว่าเราในใจ อย่าพูดเสียเลยดีกว่า
ดังนั้น วาจามงคล จึงควรเป็นคำพูดที่สุภาพไพเราะ
และถ้อยคำเป็นประโยชน์ ไม่เพ้อเจ้อ เหลวไหล หรือส่อเสียด แดกดัน
คนพูดดี ไปไหนก็มีแต่คนต้อนรับ เป็นมงคลข้อสองที่เราควรปฏิบัติ

๓. กายมงคล คือ การแต่งกายให้เหมาะสม ถูกกาละเทศะ
จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่ถูกตำหนิติเตียน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
เป็นมงคลข้อที่สาม เพราะการไม่ถูกใครว่าย่อมเป็นสิ่งดีที่เป็นมงคลแก่เราตลอดวัน
และหากจะใส่เสื้อผ้าตามหลักโหราศาสตร์เพื่อเสริมความมั่นใจหรือสร้างกำลังใจให้ตัวเองเพิ่มขึ้น ก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องดูให้เหมาะด้วย เช่น ไม่ใส่สีม่วงไปในงานแต่งงานที่เจ้าภาพ
เขาถือว่าเป็นสีแม่ม่าย แม้ว่าจะเป็นสีที่เขาบอกว่า เป็นสีแห่งโชคลาภของเราวันนั้นก็ตาม

๔. ครอบครัวมงคล คือ การสร้างความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวของเรา เพราะครอบครัวเป็นพื้นฐานแรกที่จะช่วยสร้าง " สมาชิกมงคล " ให้แก่ชุมชนและประเทศชาติ
นั่นก็คือ ผู้ที่เป็นพ่อแม่ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตัวให้ถูกต้อง เหมาะสม
ไม่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกๆไม่เมามัวเรื่องเพศ มีผัวน้อย เมียน้อยให้ลูกทุกข์
ไม่ทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน
ขณะเดียวกันก็สอนลูกในทางที่ถูกที่ควร ฯลฯ อันจะนำมาซึ่งความสุขในบ้าน
และเป็นมงคลที่จะเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับชีวิตภายนอก

๕. บ้านมงคล หมายถึง การจัดบ้านเรือนของเราให้สะอาดสะอ้าน
ไม่รกเป็นรังหนู ถ้าหากในรอบปีที่ผ่านมา
เราอาจวางสิ่งของ เสื้อผ้า ฯลฯ สุมจนเป็นกองขยะ
ตามจุดต่างๆในห้องนอน ห้องทำงาน ห้องครัว หรือห้องรับแขก
ก่อนปีใหม่หรือวันใดวันหนึ่งควรหาทางสะสาง และจัดเก็บบ้านให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย
เพราะบ้านเรือนที่โล่งสะอาด เรียบร้อย ก็เป็นการจัดฮวงจุ้ยที่ช่วยเสริมให้ผู้อยู่อาศัยให้เกิดความปลอดโปร่ง สบายใจ ไม่อึดอัด หงุดหงิด เพราะหาของไม่เจอ หรือเดินไปไหนในบ้านก็เตะโน่น ชนนี่ เหมือนมีอุปสรรคขัดขวางตลอดเวลา
บ้านที่สะอาดมีระเบียบเรียบร้อย จึงเป็นมงคลข้อที่ห้า

๖. เพื่อนมงคล คือ การคบหาเพื่อนที่ดีไว้เป็นสหาย
เพราะเพื่อนที่ดีย่อมมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของชีวิต
ส่วน เพื่อนที่ไม่ดีมีแต่พาเราไปสู่หนทางแห่งความหายนะ
เช่น เพื่อนปอกลอก คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คบเราเพราะมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง
เพื่อนหัวประจบ ก็จะเออออไปกับเราทุกอย่างไม่ว่าจะทำดีทำชั่ว
แต่ลับหลังกลับนินทา และที่ร้ายที่สุดคือ เพื่อนชวนฉิบหาย คือ ชวนให้เราดื่มเหล้า
เมายาอี มั่วเซ็กส์และเล่นการพนัน
เหล่านี้คบแล้วก็พาเราไปสู่ทางเสื่อมเสียทั้งสิ้น

ส่วน เพื่อนแท้ คือมิตรที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข แนะนำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์
เมื่อเราทุกข์ก็ทุกข์ด้วย และหาทางช่วยเหลือ
เมื่อสุขก็พลอยยินดี ไม่ริษยาเรา เป็นต้น การมีมิตรดีจึงเป็นมงคลอีกข้อ

๗. ที่ทำงานมงคล ก็ใช้หลักเช่นเดียวกับบ้านมงคล
นั่นคือ ต้องให้สถานที่ทำงานของเราสะอาดสะอ้าน
เป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าทำทั้งหมดไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด โต๊ะทำงานของเราก็ให้สะอาด สวยงาม ไม่รกหรือมีของกองสุมจนหาที่ว่างไม่ได้ และแม้แต่เราเองก็ไม่อยากนั่ง
ไม่ว่าโต๊ะทำงานหรือที่ทำงานของเราก็เป็นดังกระจกสะท้อนถึงลักษณะของผู้ที่ทำงานอยู่ในสถานที่นั้นๆ
ดังนั้น ที่ทำงานหรือโต๊ะทำงานจึงเป็นอีกมงคลหนึ่ง
ที่จะก่อให้เกิด "First Impression" ต่อหน่วยงานหรือตัวเราเองได้

๘. อาหารมงคล คือ อาหารที่กินแล้วมีประโยชน์ต่อตัวเรา
และไม่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ทองหยิบทองหยอด
แม้จะชื่อดี แต่อาจจะทำให้เราเป็นเบาหวาน หรือเป็นโรคอ้วนได้
ดังนั้น เราจึงควรงดหรือกินแต่น้อยพอประมาณ
แล้วไปกินผลไม้ชื่อมงคลอื่นแทน เช่น ส้มเช้ง ทับทิม กล้วยหอม เป็นต้น

๙. กรรมมงคล กรรม ก็คือ การกระทำ หมายถึงให้เราพยายามทำสิ่งที่ดีๆให้ได้ทุกวัน
หรือวันละเล็กละน้อย ถือว่าเป็นการสะสมบุญกุศลที่เป็นอีกมงคล
ซึ่งจะส่งผลให้เรามีความสุขกาย สบายใจ เช่น
ไหว้พระระลึกถึงพระรัตนตรัยก่อนออกจากบ้านทุกวัน
งดกินเนื้อสัตว์ทุกวันเกิดในสัปดาห์




แหล่งที่มา : มายไซเบอร์ดอทคอม

สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มักเป็นสิ่งที่ "ไม่สำคัญ" ที่สุด....




สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มักเป็นสิ่งที่ "ไม่สำคัญ" ที่สุด


สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เราก้อคิดอยู่ว่าเราก้อต้องเห็นอยู่แบบนั้นต่อไป ไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้มันสำคัญ ไม่เคยเห็นแม้แต่ค่า

เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน คนๆนั้นวิ่งตามเราอยู่ทุกวัน ใส่ใจเราอยู่ทุกวัน เราก้อมักจะเห็นแค่ว่าใครคนนึงกำลังทำอะไรที่ดูงี่เง่า น่ารำคาญ

จนวันนึงถ้าเราสูญเสียไป เราก้ออาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง เราอาจจะต้องการเรียกร้องให้มาเหมือนเดิม

หรือบางทีเราก้ออาจจะรู้สึกว่าดีใจที่ได้มีชีวิตที่ปราศจากความรำคาญ แต่จะมีใครที่เคยรู้สึกถึง ความรู้สึกของคนที่ให้อยู่บ้าง

บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรำคาญ แต่เขาทำไปเพราะเขารักคุณจริงๆ เหมือนความรักของพ่อแม่ เหมือนความรักของเพื่อนสนิทของคุณ เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้คุณด้วยความจริงใจ

คุณเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างไหม คุณเคยคิดว่าคุณดูแลพวกเขาดีพอรึยัง คุณให้ความสำคัญกับคนถูกหรือเปล่า คุณให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุคุณมากกว่าความรู้สึกที่ดีหรือเปล่า

สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตา แต่ต้องมองด้วยหัวใจ

แต่เรามักไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมอง เรามองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสิน เรามองดูความรวยความจนของคนที่สิ่งของที่เขาใช้ เรามองความดีของคนตรงที่เขาแสดงให้เราเห็น เรามองอะไรหลายอย่างด้วยตา แล้วเราก้อตัดสินคนเพียงแค่เวลาไม่เกิน 5 นาที

เราต้องสูญเสียมิตรที่ดีไปเพียงเพราะเราอ้างว่าไม่มีเวลา

เราไม่มีเวลาก็ต่อเมื่อเราไม่สนใจ เราไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ต่อคนๆนั้น

แต่ถ้าลองมองย้อนดู ทำไมเราถึงมีเวลาทำอะไรมากมายหลายอย่างในแต่ละวัน

เพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ

ทำไมคุณไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณลืมไป กับคนที่หวังดีกับคุณแต่คุณไม่เคยมอง

อย่าปล่อยให้มิตรภาพดีๆต้องมีรอยร้าว เพราะเมื่อวันนึงถ้าต่างคนต่างไป

เราจะได้จากกันด้วยความรู้สึกที่ดี เราจะได้ไม่รู้สึกผิดว่า เรายังทำดีกับเขาไม่เพียงพอ





ขอบคุณข้อความดี ๆ คุณnarak

12 มิ.ย. 2554

นิทานสอนใจ เรื่อง วิธีการหาคู่แท้



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว …มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่
ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า
ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า เราจะหาคู่แท้เราเจอได้ไงคับ อาจารย์บอกผมหน่อยได้ไหม คับ?
อาจารย์ : อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถาม ที่ง่ายเหมือนกันนะ
ลูกศิษย์ : อืม?….งงอะไม่เข้าใจ
อาจารย์ : โอเค งั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะ เลยใช่ไหม เธอ ลองเดิน ไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ แต่ว่า เวลาเธอเดินเนี่ย เธอต้องเดินไป ข้างหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม
ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ จาน รอสักครูน่ะครับ (ว่าแล้ว ก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า) หลังจากนั้นไม่นาน….
ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจาน
อาจารย์ : อืม…แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ ในมือเธอเลยหละ
ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจาน ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวย ๆ เนี่ย ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยว ก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อย รู้ตัวอีกที มันก็สุดสนามหญ้าแล้ว ครับ จะเดินกลับก้อไม่ได้ เพราะจานสั่งห้ามไว้
อาจารย์ : นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ …

ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือ คนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ ส่วนทุ่งหญ้า ก็คือ เวลา … เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้ว คิดว่า คงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่ เปรียบเทียบ คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า…”เวลาไม่เคยย้อนกลับ”

ขอบคุณ FW-Mail

ความทรงจำจากหัวใจ...



นิทานเรื่องนี้ กล่าวว่า มีคน 2 คน เป็นเพื่อนกัน แล้วได้เดินเข้าไปในทะเลทราย ณ จุดหนึ่งของการเดินทาง ทั้งสองคนมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเพื่อนคนหนึ่งได้ตบหน้าเพื่อนอีกคน หนึ่ง ชายผู้ที่ถูกตบหน้า เสียใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาได้เขียนข้อความลงบนผืนทรายว่า “วันนี้ เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันได้ตบหน้าฉัน”พวกเขาได้ออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่ง พวกเขาพบ OASIS (หนองน้ำกลางทะเลทราย)พวกเขาตัดสินใจที่จะอาบน้ำ ชายคนหนึ่งซึ่งถูกตบหน้า ยังมีความเสียใจอยู่แล้วเขาได้เริ่มจมน้ำ เพื่อนอีกคนได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้เมื่อเขาได้แก้ไขเหตุการณ์อันน่าตกใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาได้เขียนข้อความลงบนหินว่าน่า “วันนี้เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันได้ช่วยชีวิตฉันไว้”
ชายคนที่ช่วยชีวิตและได้ตบหน้าเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา ได้ถามว่า “ทำไม หลังจากฉันตบคุณ คุณถึงได้เขียนข้อความลงบนทราย และตอนนี้ทำไมถึงเขียนลงบนหิน” ชายอีกคนได้ยิ้ม แล้วตอบว่า เมื่อเราเสียใจต่อเพื่อน เราควรที่จะเขียนมันลงบนผืนทราย เวลาที่ซึ่งลมแห่งการให้อภัยจะทำการลบมันออกไป และเมื่อบังเกิดสิ่งที่มีความสุข เราควรจะจารึกมันลงบนหินแห่งความทรงจำจากหัวใจ ที่ซึ่งลมไม่สามารถลบมันออกไปได้

10 มิ.ย. 2554

โคมไฟขี้ใจน้อย....




ฉันเป็นโคมไฟ ที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างไม่สนใจ
บางวันมีสุนัขผ่านมาแวะทักทาย
แต่ยามค่ำคืนฉันต้องยืนส่องแสงเพียงลำพัง
วันหนึ่งมีคนเอาเก้าอี้มาตั้ง

มีคนมานั่งเล่นทุกคน ฉันเริ่มหายเหงา
แต่ทุกคนมานั่งชมแสงจันทร์แสงดาว ไม่มีใครสนใจฉันเลย
ฉันรู้สึกน้อยใจ จึงดับไฟให้มืดลง
ไม่มีใครกล้ามานั่งที่เก้าอี้อีก เพราะความมืด
เก้าอี้จึงถูกย้ายออกไปที่อื่น ความเงียบกลับมาอีกครั้ง
ก่อนไปเก้าอี้บอกฉันว่า....

ถึงคนที่มานั่งไม่ได้มานั่งเพื่อดูเธอ แม้แสงไฟจากเธอจะสวย
สู้แสงจันทร์หรือแสงดาวไม่ได้ แต่ทุกคนก็รู้ว่า ที่ตรงนี้มีเก้าอี้
และมีโคมไฟอยู่ พวกเค้าจึงเลือกมานั่งที่นี่ อย่างน้อยเค้าก็
เห็นความสำคัญของเธอมากกว่าความสวย

ใช่... ของแต่ละสิ่งเกิดมาเพื่อทำหน้าที่แตกต่างกัน
ฉันจึงเปิดแสงไฟให้แถวนั้นสว่างเหมือนเดิม
เก้าอี้จึงถูกยกกลับมาวางไว้ที่เดิม

มีคนกลับมานั่งชมแสงจันทร์และแสงดาวอีกครั้ง
และฉันก็ยืนดูพระจันทร์ดูดวงดาวพร้อมกับพวกเค้า
พระจันทร์กำลังส่งยิ้มให้ฉัน



ขอบคุณ fw

ความยาวของหนึ่งวินาที .....




ไอน์สไตน์เคยบอกว่า หัวใจของทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขานั้นอธิบายได้ด้วยการเปรียบเทียบดังนี้

วางมือของคุณบนเตาร้อนหนึ่งนาที มันดูยาวเหมือนหนึ่งชั่วโมง นั่งกับสาวสวยหนึ่งชั่วโมง มันสั้นแค่นาทีเดียว

ความยาวสั้นของเวลาเป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม แต่ดูเหมือนผู้คนนิยมใช้ เวลา เป็นข้ออ้างมากกว่า ด้วยประโยคยอดนิยม เวลาน้อยเหลือเกิน ฉันทำไม่ได้ และ จะบ้าหรือ ให้เวลาน้อยอย่างนี้

อาจจะจริงของพวกเขา เวลาหนึ่งวินาทีของมนุษย์เรา สั้น มาก เราแทบทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในเวลาหนึ่งวินาทีไม่ได้

แต่เวลาหนึ่งวินาทีสั้นจริง ๆ หรือ

ในการศึกษาควอนตัม ฟิสิกส์ (ฟิสิกส์ว่าด้วยอนุภาค) เราพบว่าในเวลาน้อยกว่าหนึ่งวินาทีเกิดอะไรขึ้นมากมายเหลือเชื่อ

เวลา 10 ยกกำลัง -1 วินาทีคือเวลาที่นัยน์ตากะพริบ

10 ยกกำลัง -6 คือช่วงชีวิตของอนุ-อนุภาคมิวออนหนึ่งตัว (มิออนเป็นองค์ประกอบของอนุภาคซึ่งเป็นองค์ประกอบของอะตอมซึ่งเป็นองค์ ประกอบของสรรพสิ่ง)

10 ยกกำลัง -23 วินาทีคือระยะเวลาที่โฟรตอน (อนุภาคแสง) วิ่งข้ามนิวเคลียสของอะตอม

เมื่อศึกษาบิ๊กแบง เราพบว่า ในเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านล้านล้านล้านวินาที งานสร้างจักรวาลเดินหน้าไปไกลโข

ถ้าฟังดูยากไป ลองดูตัวอย่างเพื่อนร่วมโลกของเรา

ปลวกใช้เวลาทำรัง หาอาหาร ทำงาน สืบพันธุ์ ทิ้งผลงานสร้างจอมปลวกใหญ่โต ในช่วงชีวิต 1-2 ปีของมัน

มดทำมาหากินไม่หยุดตลอดชั่วชีวิต 45-60 วันของมัน

ผึ้งงานทิ้งผลงานเป็นรวงผึ้งที่มีน้ำหวานเต็มรัง ในช่วงชีวิต 28-35 วันของมัน

เทียบ สัดส่วนแล้ว หนึ่งวินาทีของปลวก มด ผึ้ง ทำงานได้มากกว่าคนหลายเท่า และสัตว์หลายตัวทำตัวเป็นประโยชน์ต่อโลกในช่วงไม่กี่วันมากกว่าบางคนทั้ง ชีวิต

แน่ละ มนุษย์ย่อมมีข้อจำกัดของตน และใช่ เวลาหนึ่งวินาทีของมนุษย์เรา สั้น มาก จนแทบทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ นั่นยิ่งเป็นเหตุผลให้เราไม่ควรสูญเสียทุก ๆ วินาทีไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะกับคำว่า ฆ่าเวลา

มีแต่คนซึ่งเห็นคุณค่าของการมีชีวิตเท่านั้นที่เอ่ยว่า สิ่งที่ต้องทำมีมากเหลือเกิน เวลามีน้อยเหลือเกิน คนเหล่านี้ไม่เคยเอ่ยคำว่า ฆ่าเวลา เพราะรู้จัก ค่าเวลา ดี

เมื่อดูว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลกนี้ใช้เวลาแต่ละวินาทีอย่างไร เราอาจต้องย้อนดูตัวเราเอง

บางทีเราอาจทำอะไรได้มากกว่าที่เราเคยทำ เพียงแต่เลิกบอกว่า เวลาน้อยเหลือเกิน

และเราก็อาจใช้เวลาอย่างมีประโยชน์กว่านี้ หากเรารู้ว่า เวลาแต่ละหนึ่งวินาทีนั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว

ความรัก...สายใยเส้นบาง ๆ....





จงเชื่อในพรหมลิขิต


จงเชื่อในเหตุการณ์ที่นำพาความรักมาให้


อย่าบอกว่าไม่รัก ถ้าไม่สามารถสบตาเขาอย่างบริสุทธิ์ใจได้


อย่าบอกว่ารัก..ถ้าคุณไม่รู้สึกวูบวาบเวลาอยู่ใกล้ ๆ


อย่าบอกว่าไม่คิดถึง..ถ้าหัวใจไม่อาจลืม


อย่าบอกว่าคิดถึง ถ้าเพิ่งจากกันไม่ถึง 1 นาที


อย่าปล่อยให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราหลุดลอยไป


ลองคุยกันมากขึ้น รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยใจ



จะทำให้เรารู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รู้จักความรัก



อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งมีน้ำตา ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งกำลังดีใจ



อย่าปล่อยให้ใครอีกคนหนึ่งยิ้ม ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งกำลังร้องไห้



อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งพูด ทั้ง ๆ ที่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการฟัง



ความรักต้องมาจากความรู้สึกของคนสองคน..



อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งหยิบยื่น แต่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการ



ความรักเป็นเพียงสายใยบาง ๆ



ที่มันถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรู้สึกต่าง ๆ



ทั้งความอาทร ห่วงใย ห่วงหา คิดถึง

คำขอโทษ ความรัก สิ่งดี ๆ มากมาย...



....คุณเคยใช้คำพูดที่พูดออกไปด้วยอารมณ์ ความคะนอง
แต่แล้วคำพูดที่พูดออกไป ทำร้ายความรู้สึกดีๆของอีกฝ่าย
ผู้ฟังฟังแล้วเสียความรู้สึกดีๆไป....

........จะเป็นด้วยความตั้งใจที่จะพูดออกไปหรือไม่ก็ตามแต่
สุดท้ายคนที่รับฟังประโยคเหล่านั้นรู้สึกผิดหวังที่ได้ยินอย่างนั้น

.........คุณอาจจะรู้สึกดีที่ได้พูดอย่างนั้นออกไป ได้ระบายความรู้สึก
แต่ภายหลัง...คุณกลับมานั่งขบคิดในสิ่งที่คุณทำลงไป
คุณกำลังทำลายความรู้สึกดีๆระหว่างกันลงไป
คุณเริ่มรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ทำลงไป

.........คำพูดที่หลุดออกจากปากไปแล้ว
มันคืออดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้เลย
มีแต่สติเท่านั้นที่ควบคุมคำพูดที่จะออกจากปากไม่ให้พลั้งเผลอพูดในสิ่ง
ไม่สมควร เพียงแต่เราขาดสติควบคุม
คำพูดที่หลุดออกไปก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งทันที

.........บางครั้งคุณอยากจะเป็นฝ่ายกล่าวขอโทษในสิ่งที่คุณกล่าวซึ่งทำร้าย
ความรู้สึก ดีๆของอีกฝ่าย
เพียงแต่คุณไม่กล้า คุณมีทิฐิ
คุณเป็นฝ่ายลังเลที่จะกล่าว อยากให้อีกฝ่ายยกโทษให้คุณ แต่ในใจคุณ
ความมีทิฐิ กลัวเสียหน้า
ข่มความกล้าที่จะทำให้คุณเป็นฝ่ายเริ่มต้นกล่าวก่อน
คุณกลับรอเวลาให้ผ่านไปด้วยหวังว่าเวลาที่ผ่านไป...ทุกอย่างก็จะดีเอง

.......คุณเคยคิดบ้างไหมว่า
เวลาที่ผ่านไปยิ่งทำให้ทุกอย่างไม่ดีขึ้นเลย อีกฝ่ายที่รับฟังคำพูดของคุณ
ถึงแม้ว่าคำพูดที่ผ่านไปมันกลายเป็นอดีต
แต่ความรู้สึกมันยังคงค้างอยู่ในใจ

........ถ้าทิฐิมันทำลายความรู้สึกที่ดีระหว่างกัน
มีประโยชน์อะไรที่คุณจะถือทิฐิเอาไว้กับตัว คุณควรจะปล่อยทิฐิตรงนั้นไป
การกล่าวขอโทษดูเหมือนจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และยากในยามที่ความรู้สึกดีๆระหว่างกันเกิดรอยร้าวขึ้น
ความรู้สึกดีๆจะกลับมาก็เพียงแต่คุณกล้าที่จะเริ่มต้นกล่าวคำขอโทษออกไป

.......ถามใจตัวคุณเองว่า
คุณยังให้ความสำคัญกับคนๆนั้นอยู่ไหม
ไม่ต้องกลัวเสียหน้าถ้าคุณจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นกล่าวก่อน หลังจากกล่าวออกไป
คุณจะรู้สึกว่าจิตใจคุณบางเบา
อีกฝ่ายคงรู้สึกดีที่ได้ยินอย่างนั้นและยินดีจะให้อภัยคุณ

.......การมีทิฐิและไม่ยอมที่จะลดละความมีทิฐิ
สุดท้ายจะพบว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรจากการทำแบบนั้น
แล้วกลับมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแทน

......ถ้าความรักหมายถึง การไม่โกรธ และให้อภัย
คนที่คุณรักเขาคงยินดีและไม่โกรธเมื่อได้ยินคำขอโทษจากคุณ
และเขาก็ยินดีที่จะให้อภัยคุณตราบเท่าที่เขายังรักคุณอยู่


ขอบคุณข้อมูล : แตงโมดอลคอม

นิยามรัก MBA สิ่งดี ๆ มากมาย....




สำหรับผู้ที่คุ้นเคยวิชาการตลาดมาเป็นอย่างดี

วันนี้...อาจารย์ขอเสนอ วิชา Consumer Behavior นะจ๊ะ
ศัพท์เด่นประจำช่วงเวลา (Product Life Cycle = PLC)



PLC 1: Introductory Stage

แรกพบ - Unique Selling Point
ปรับปรุงการแต่งตัว - Re-packaging
เริ่มจีบ - Service Minded
โทรคุย - Telemarketing
เทียวไล้เทียวขื่อ - Home Delivery
เลี้ยงข้าว - Financial Investment : NPV 0
มอบดอกไม้ - Impulse Purchase
เจอคู่แข่ง - Frontal Attack Strategy
ปรึกษาเพื่อน - Decision Influencer
ถามพี่น้อง - Market Research
พ่อสื่อแม่ชัก - Multi Level Marketing
ตัดสินใจไม่ได้ - Awareness : Buying Process No.1 (เลือกไม่ถูก อ๊ะป่ะ)
ถามแม่ดูก่อน - Information Gathering : Buying Process No.2 ขอมีฟอร์มมั่งเด๊ะ)
เอาว่ะไม่ลองไม่รู้ - Decision : Buying Process No.3 (ลองอะไรเนี๊ยะ !)
จูงมือชมฟาร์มจระเข้ - Action : Buying Process No.4 (ระวังไอ้เข้งับน๊ะ)
PLC 2: Growth Stage

คบเป็นแฟน - Product Oriented
เปิดตัว - Product Launching
ที่เก่าเวลาเดิม(นะจ๊ะ) - Brand Loyalty
ดูหนังฮันนีมูนซีท - Bundling กุ๊กกิ๊ก - Kuk Kik :)
ป้อนข้าวป้อนขนม - Customer Satisfaction
PLC 3: Mature Stage

ที่เก่าเวลาเดิม(อีกแหละ) - Commodity
พรุ่งนี้ค่อยคุยนะวันนี้เหนื่อย - Half Truth
PLC 4: Decline Stage


โรคแพ้สายเดี่ยว - Differentiated Product
สายตาสอดส่าย 360 องศา - Targeting : Market Coverage............ - Brand Switching

นิยามรักฉบับ MBA ก็เป็นไปตาม วัฎจักรของชีวิต
มีขึ้นก็ต้องมีลงฉะนี้แล...จบ.....ล่ะ ขำขำ คลายเครียด กันนะค่ะเพื่อน ๆ


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ : แตงโมดอลคอม

เพื่อนรัก ความหมายของเพื่อนแท้ ก-ฮ..





เพื่อนรัก



ความหมายของเพื่อนแท้ ก-ฮ

เพื่อนคือคนที่
ก - เก็บคุณไว้ในใจ
ข - เข้าใจคุณ
ค - คอยสนับสนุน
ง - ง้อคุณเมื่อรู้ว่าเขาผิด
จ - จับมือคุณเมื่อคุณต้องการกำลังใจ
ฉ - เฉย กับความใจร้อนของคุณ
ช - ช่วยเหลือคุณ
ซ - ซื่อสัตย์ต่อคุณ
ญ - ญาติดีกับคุณเสมอ
ด - เดินเคียงข้างคุณ
ต - ติดตามข่าวคราวความเป็นไปของคุณ
ถ - ไถ่ถามทุกข์สุข
ท - ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไป
ธ - ธรรมะธัมโมกับคุณ
น - นับถือคุณและน่ารักในสายตาของคุณ
บ - บอกความจริงแก่คุณ
ป - ปลอบใจเมื่อคุณท้อ
ผ - ผายมือต้อนรับคุณเสมอ
ฝ - ฝากผีฝากไข้กับคุณ
พ - เพิ่มพลังให้แก่คุณ
ฟ - ฟังคุณ
ภ - ภูมิใจในตัวคุณ
ม - มอบสิ่งที่ดีแก่คุณ
ย - ยกโทษให้กับข้อผิดพลาดของคุณ
ร - รักคุณที่เป็นคุณ
ล - ละเอียดอ่อนกับความรู้สึกของคุณ
ว - ไว้ใจคุณ
ศ - ศึกษานิสัยที่แท้จริงของคุณ
ส - สังเกตความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณ
ห - เห็นคุณค่าของคุณ
อ - อธิบายในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ
ฮ - เฮฮากับคุณได้ทุกเวลา

7 มิ.ย. 2554

ดีไม่ดีอยู่ที่ใจเรา...




ดีไม่ดี...อยู่ที่ใจเรา
หัวเราะ...เมื่ออยากหัวเราะ
ร้องไห้...เมื่ออยากร้องไห้
และต้องหัวเราะให้ได้หลังร้องไห้ทุกครั้ง! อย่าทำอะไรที่ไม่อยากทำ...
จงทำอะไรที่ใจอยากทำ...! ตัวหนังสือ...เขียนผิด...ลบได้
การกระทำ...ทำผิด...เอาอะไรลบ นึกว่าหมากำลังไล่ฟัดซิ...!
...จะได้รีบวิ่งรี่เข้าเส้นชัย...



ดีไม่ดี...อยู่ที่ใจเรา
หัวเราะ...เมื่ออยากหัวเราะ
ร้องไห้...เมื่ออยากร้องไห้
และต้องหัวเราะให้ได้หลังร้องไห้ทุกครั้ง! อย่าทำอะไรที่ไม่อยากทำ...
จงทำอะไรที่ใจอยากทำ...! ตัวหนังสือ...เขียนผิด...ลบได้
การกระทำ...ทำผิด...เอาอะไรลบ นึกว่าหมากำลังไล่ฟัดซิ...!
...จะได้รีบวิ่งรี่เข้าเส้นชัย...


...ล้มเมื่อไหร่จะได้รีบลุก... ทุกย่างก้าว ของ ความฝัน คือ ย่างก้าว
ของ ความเหน็ดเหนื่อย
ทุกย่างก้าว ของ ความเหน็ดเหนื่อย คือ ก้าวย่าง ของ ความสำเร็จ
ต่อให้ทุกข์ที่สุด....ก็ต้องผ่านพ้นไปจนได้
เมื่อเรานั่งมองอดีต เรายังผ่านทุกข์มาได้ตั้งหลายทุกข์
ก็ในเมื่อ..ชีวิต...มันยังมีชีวิต
ขอแค่อย่าทุกข์ก่อนเจอทุกข์
หลังทุกข์ อย่าทุกข์อีก
ให้ทุกข์ แค่ตอนทุกข์
แล้วทุกข์ที่สุด...ก็จะเป็น ทุกข์ แค่นี้เอง!


ให้ทำหน้าที่ทุกหน้าที่ด้วยหัวใจ
ให้หัวใจตระหนักในหน้าที่....
แล้วเราจะไม่รู้สึกว่าหน้าที่เป็นหน้าที่
แต่เป็นการกระทำที่เกิดจาก...หัวใจเรียกร้อง...ต่างหาก
ดีไม่ดี...อยู่ที่ใจเรา...
ถ้าใจเรา...คิดดี เราก็จะเจอแต่สิ่งดีๆ
ถ้าเรามองในทางที่ดี...ใจเราก็จะรู้สึกดี


ขอบคุณ FW

5 มิ.ย. 2554

10 เรื่อง (ไม่) ลับของสาวฉันทนา.....

Cover Story : McCann 10 เรื่อง (ไม่) ลับของสาวฉันทนา (Marketeer/ม.ค./52)







McCann



10 เรื่อง (ไม่) ลับของสาวฉันทนา



เมื่อพูดถึงคำว่า Consumer Insight หลายคนคงจะลืมนึกถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย หรืออาจจะมีความเชื่อว่า เขาเหล่านี้คงจะเลือกใช้สินค้าโดยมีปัจจัยด้านราคาเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อแผนกคอนซูเมอร์ อินไซด์ บริษัท แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เล็งเห็นความสำคัญของผู้บริโภคกลุ่มผู้ใช้แรงงาน จนทำงานวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ และได้อินไซด์ที่เซอร์ไพรส์มากมาย


ใครคือกลุ่มตัวอย่าง



มาร์ค เดวี่ส์ ผู้อำนวยการด้านการวางแผนกลยุทธ์ หัวหน้าทีมวิจัยของแมคแคนในโปรเจกท์นี้ ได้สรุปถึงคุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ใช้แรงงานในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเป้าหมายของงานวิจัยชิ้นนี้ ดังนี้ กลุ่มผู้ชายและผู้หญิง ส่วนใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไป สถานะครอบครัวส่วนมากแต่งงานแล้ว รายได้ 7,000-10,000 บาท มีทั้งคนที่ย้ายภูมิลำเนาเข้ามาจากทุกภูมิภาค หรือเกิดในกรุงเทพฯ โดยเป็นเจเนอเรชั่น 2 ของผู้ใช้แรงงานที่อพยพเข้ามา



ที่อยู่อาศัยของคนกลุ่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท 1.ที่อยู่อาศัยฟรี เช่น บ้านพักคนงาน หรือบ้านพักของที่ทำงาน 2. แฟลต 3.บ้านญาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ก่อน ส่วนอาชีพ จะมีตั้งแต่อาชีพที่ใช้แรงงานน้อย เช่น เจ้าของกิจการขนาดเล็ก แม่บ้าน พนักงานของหน่วยงานรัฐ คนขับรถรับจ้าง ไปจนถึงกรรมกร



สำหรับรายได้ หากต่ำกว่า 5,000 บาท คนกลุ่มนี้จะรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในเมืองกรุงด้วยความยากลำบาก แต่ถ้าหากว่าได้มากกว่า 1 หมื่นบาทขึ้นไปก็จะมีชีวิตที่ดีกว่า ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่หมดไปกับรายจ่ายที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีพ อีกส่วนคือเรื่องลูก ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกแล้ว คนกลุ่มนี้ทุ่มเต็มที่เท่าที่กำลังตัวเองจะมี ส่วนสุดท้ายเป็นรายจ่ายอื่นๆ เพื่อการพักผ่อนหรือความบันเทิง ซึ่งหากคิดว่าค่าใช้จ่ายส่วนอื่นไม่พอก็จะยอมตัดรายจ่ายก้อนนี้ทิ้ง



นอกจากข้อมูลพื้นฐานใหญ่ค่อนข้างตรงกัน และไม่มีอะไรเกินความคาดหมายแล้ว ยังมีอีก 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพวกเขา







1. ฉันก็ใช้ของแบรนด์เนมนะยะ



จากการเข้าไปสอบถามเชิงลึกของแมคแคน พบว่า สาวๆ ผู้ใช้แรงงานเหล่านี้ ก็อยากจะใช้ของแบรนด์เนมเช่นเดียวกับผู้บริโภคกลุ่มอื่น แต่เมื่อรายได้จำกัด แบรนด์เนมที่เธอใช้จึงเป็นแบรนด์เนมของปลอม ที่ซื้อตามตลาดนัด เหตุผลที่เธอใช้ของเหล่านี้ก็เพราะว่า “คุณค่าของแบรนด์” ที่คนรุ่นหลังพวกเธอ เช่น ลูกหรือว่าน้องสาว บอกกล่าวถึงความสำคัญของแบรนด์ จนพวกเธอคิดว่า นี่คือของที่แสดงตัวตน และเป็นการให้เกียรติสถานที่



“ผู้บริโภคกลุ่มนี้รู้ดีว่าของที่เธอใช้เป็นของปลอม และก็รู้ด้วยว่าคนอื่นก็รู้ว่าปลอม แต่ตราบใดที่ไม่มีใครพูดถึง ก็ไม่เป็นไร การที่เธอใส่หรือใช้ของก๊อปแบรนด์เนมพวกนี้ ก็เพื่อให้เกียรติกับสถานที่และคนที่เธอไปติดต่อด้วย เช่น การไปเคาน์เตอร์ธนาคาร หรือว่าโอกาสพิเศษในชีวิต พวกงานเลี้ยงเป็นต้น” มาร์ค เดวี่ส์ เล่าเหตุผลที่กลุ่มเป้าหมายคิด







2. เครื่องใช้ไฟฟ้า / กางเกงยีนส์ ความภูมิใจของผม



ถ้าหากว่าสินค้าแฟชั่น คือการแสดงตัวตนของผู้หญิง สำหรับผู้ชายก็ต้องเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า และกางเกงยีนส์ ยี่ห้อที่พวกเขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ได้แก่ ลีวายส์, ลี, แรงเลอร์ ส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย พวกเขาจะซื้อจากแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน สำหรับซัมซุงจะเลือกเพราะดีไซน์ โซนี่กับพานาโซนิคเลือกด้วยเหตุผลว่าคุ้นเคยกับแบรนด์ ส่วนแอลจีเพราะราคาถูก และโทรศัพท์มือถือก็จะเลือกโนเกีย



เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ใช้แรงงานก็เลือกสินค้าจากแบรนด์เป็นลำดับแรก รองลงมาถึงเป็นปัจจัยด้านราคา ผู้บริโภคยินยอมซื้อโทรศัพท์โนเกียรุ่นที่ต่ำลงมา มากกว่าจะซื้อเฮาส์ แบรนด์ทั้งๆ ที่เฮาส์ แบรนด์มีคุณสมบัติด้านการใช้งานมากกว่า







3.เอ็มเค / เคเอฟซี: มื้อนี้เพื่อคนพิเศษ



ด้านอาหารการกิน คนกลุ่มนี้มักซื้ออาหารปรุงสำเร็จกลับบ้าน เพราะว่างานที่ทำทุกวันก็ดูดพลังงานจนไม่มีแรงเหลือให้ทำอาหารเองอีกแล้วในวันธรรมดา จะประกอบอาหารเองในครอบครัวเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น และในโอกาสพิเศษ เช่น วันหยุดเทศกาล หรือวันเกิด เมื่อมีโอกาสเดินในห้างไฮเปอร์ มาร์เก็ต ก็จะทานอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเชนร้านอาหารที่ได้รับความนิยมก็คือ เอ็มเคสุกี้ กับเคเอฟซี



ด้านเครื่องดื่ม ประเภทน้ำอัดลมก็นานๆ ครั้งถึงจะดื่ม ส่วนกาแฟ เนสกาแฟ กระป๋องคือแบรนด์อันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นเบอร์ดี้ ส่วนเครื่องดื่มชูกำลัง จะดื่มเฉพาะกลุ่มคนที่ใช้แรงงานมากๆ เช่น กรรมกร หรืออาชีพหลังพวงมาลัย







4. เปิดตะกร้า แอบดูอุปกรณ์อาบน้ำ



จากสภาพความเป็นอยู่ที่บางครั้งที่พักของพวกเขาเป็นห้องอาบน้ำรวม ดังนั้นแต่ละครอบครัวจึงมีตะกร้าใบย่อมที่ใส่อุปกรณ์อาบน้ำเอาไว้เป็นส่วนตัว และของในตะกร้านั้น มีผลิตภัณฑ์และแบรนด์ดังนี้ 1. สบู่ ฮิตที่สุดต้องเป็นลักส์ สีม่วง เพราะกลิ่นที่คุ้นเคย รองลงมาคือ โพรเท็กซ์ เดทตอล ที่มีคุณสมบัติกำจัดแบคทีเรีย 2. ยาสีฟัน อันดับหนึ่งคือคอลเกต ซอลค์ ใกล้ชิด ดาร์ลี่ 3. ยาสระผม ซันซิลและคลินิก ที่ชอบคลินิกก็เพราะว่าสระแล้วเย็น สดชื่น ส่วนเรื่องขจัดรังแคเป็นเรื่องรอง คนกลุ่มนี้ไม่ใช้ครีมนวดผม เพราะถือว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเกินไป 4.ผงซักซอก แอทแทค ด้วยความเชื่อว่ามีความเข้มข้นกว่า ดังนั้นจึงใช้ปริมาณน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผงซักฟอกยี่ห้ออื่น







5. บิ๊กซี: เราคิดว่าถูกจริง



นอกเหนือจากตลาดนัดที่ช้อปปิ้งบ่อย ด้วยความรู้สึกว่าเป็นกันเอง ไม่ต้องเป็นทางการมากมาย ไฮเปอร์ มาร์เก็ตยังเป็นอีกสถานที่ ที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานนิยมซื้อสินค้า และเดินตากแอร์ โดยห้างที่ซื้อของบ่อยที่สุดคือ บิ๊กซี ด้วยเหตุผลที่เขาคิดว่าราคาถูกกว่าห้างอื่น อีกทั้งมีพื้นที่จัดกิจกรรมพิเศษในวันหยุด ทำให้มาที่เดียวก็เพียงพอทั้งซื้อของและร่วมกิจกรรม เพราะว่ามักมากันทั้งครอบครัว



และสื่อที่ใช้พิจารณาเปรียบเทียบราคาสินค้า ก็คือโบรชัวร์ที่อยู่ในห้องพัก รวมทั้งที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ หรือเอามาเสียบไว้หน้าห้อง ในเมื่อคนกลุ่มนี้มีรายได้ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นจึงวางแผนด้านการจับจ่ายใช้สอยดียิ่งกว่าหนุ่มสาวออฟฟิศซะอีก ส่วนการซื้อของปริมาณน้อยในยามที่ของหมด ก็จะซื้อกับร้านค้าดั้งเดิมทดแทนไปก่อน







6. ยิ่งลด ยิ่งแลก ยิ่งแจก ยิ่งแถม ยิ่งรัก



ไม่ว่าจะช็อปไหน กลยุทธ์ทางการตลาดที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ชอบมากที่สุด เห็นจะเป็นการลดราคา รองลงมาจึงเป็นการเพิ่มคุณภาพหรือปริมาณในราคาเดิม ต่อด้วยการแถมของพรีเมียม และจับแพ็คโปรดักท์คู่กันในราคาถูกลง







7. หนังสือพิมพ์อ่านทุกวัน แต่ไม่เคยซื้อ



ด้านการเสพสื่อ ผู้ใช้แรงงานในกรุงเทพฯ อาจไม่มีเวลาดูโทรทัศน์มากนัก ด้วยกิจกรรมในชีวิต ตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 เข้าทำงานตอน 7 โมงเช้า จนกระทั่งเลิกงาน 2 ทุ่ม รายการที่ได้รับความนิยมยังคงเป็นรายการบันเทิง หรือว่าสารคดีจากช่อง 3, ช่อง 7 เช่น ตีสิบ, นาทีชีวิต, คดีเด็ด และช่องเก้าการ์ตูน ในวันหยุดเพราะว่าดูตามลูก



ที่น่าสนใจคือคนกลุ่มนี้อ่านหนังสือพิมพ์รายวันทุกวัน แต่ไม่เคยซื้อหนังสือพิมพ์เลย อาศัยอ่านในสถานที่ที่มีหนังสือพิมพ์จัดไว้ให้อ่านฟรี เช่น ที่ทำงาน, ร้านอาหาร โดยไทยรัฐ, ข่าวสดเป็นหนังสือพิมพ์ที่ผู้ตอบบอกว่าอ่านมากที่สุด เน้นคอนเท้นต์บันเทิง, กีฬา และข่าวทั่วไป







8. กรี๊ด!!! อั้ม / เคน / ชาคริต / ป๋อ



จากพฤติกรรมการเสพสื่อที่บอกว่าผู้ใช้แรงงานในเมืองกรุงอาจจะไม่ค่อยดูโทรทัศน์ ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ค่อยบ้าดาราเท่าใดนัก คนที่จะดึงดูดพวกเขาได้จึงต้องเป็นดาราระดับแม่เหล็กจริงๆ เท่านั้น ประกอบด้วย เคน-ธีรเดช, ชาคริต, ป๋อ-ณัฐวุฒิ และอั้ม-พัชราภา ในส่วนของฝ่ายหญิง ด้วยเหตุผลว่า สวย-หล่อ แสดงละครเก่ง และวิธีการแสดงความชื่นชอบก็คือ ติดโปสเตอร์ไว้ในบ้าน เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองยามท้อแท้



“จากบทสรุปในเรื่องนี้ อาจจะง่ายเกินไปที่เราจะบอกว่า พรีเซนเตอร์ไม่มีผลต่อการซื้อสินค้า เพราะการคิดว่าจะใช้พรีเซนเตอร์ในงานโฆษณาหรือเปล่า ต้องคิดถึงผู้บริโภคกลุ่มอื่นด้วย เวลาที่แบรนด์ใช้พรีเซนเตอร์อาจจะไม่ใช่แค่จีบกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ก็ได้ และพรีเซนเตอร์ก็มีหน้าที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่าย หลังจากนั้นต้องมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีก” มาร์ค เดวี่ส์กล่าว







9. สู้เพื่อลูก



ทัศนคติที่อยู่ภายในใจของคนกลุ่มที่มีอายุไม่เกิน 30 ปี จะคิดว่าเป้าหมายในชีวิตก็คือวันหนึ่งข้างหน้าจะมีกิจการขายอาหารร้านเล็กๆ ของตัวเอง และทำให้มีรายได้กับคุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำงานหนักน้อยลง



ส่วนความคาดหวังต่อคนรอบข้าง จะพุ่งความสนใจไปที่ลูก เพราะทราบแล้วว่า การศึกษาที่ดี จะสร้างโอกาสในชีวิตได้มากกว่าที่ตัวเองเคยผ่านมา ขณะเดียวกันก็อยากให้พ่อ-แม่สบายขึ้น







10. กลับบ้านเรา รักรออยู่



ส่วนทัศนคติของคนที่มีอายุเกิน 30 ปี จะมีความฝันสูงสุดอยู่ที่ได้กลับบ้าน ใช้เงินที่สะสมไว้ทั้งชีวิตซื้อที่นา และสร้างบ้านในชนบทที่ตนเองจากมา ส่วนความหวังที่มีต่อคนรอบข้าง จะเน้นเรื่องการศึกษาและชีวิตของลูกเช่นเดียวกัน โดยผู้หญิงจะเพิ่มความกังวลกับอนาคตในบั้นปลายมากกว่าผู้ชาย



จากความสำคัญเรื่องลูกของคนกลุ่มนี้ในทุกระดับอายุ ทำให้เป็นโอกาสอันดีของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา หรืออุปกรณ์การศึกษาทั้งหลาย จากการสอบถามของแมคแคนระบุว่า เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นสุดยอดปรารถนาสำหรับพวกเขา เพราะคิดว่าจะสร้างโอกาสและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูก ดังนั้นจึงเก็บเงินเพื่อให้มีคอมพิวเตอร์ภายในบ้าน ถึงแม้ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์มือสองก็ตาม



ส่วนความคิดถึงเกี่ยวกับสิ่งที่แสดงฐานะยังคงอยู่ที่บ้าน, เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และรถกระบะ รวมไปถึงการเป็นเจ้าของกิจการ



ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารการตลาด

3 มิ.ย. 2554

Melody of Life....



และนี่ก็เป็นเพลงเพราะๆ อีกเพลงหนึ่งนะคะ เป็นเพลงเพราะๆจากเกม Final Fantasy IX คะ เป็นเพลงเก่าแล้วล่ะ แต่เห็นว่าเพราะดีก็เลยขุดมาให้ดูกัน เป็นคลิ๊ป MV จาก Youtube คะ เพราะงั้นอาจจะโหลดนานหน่อยกว่าจะจบเพลงคะ


เนื้อเพลงคะ ถ้าใครชอบก็เอาไปหัดร้องได้นะคะ

Song : Melodies of Life ( Ost.Final Fantasy IX )
Artist : Emiko Shiratori


Alone for a while I've been searching through the dark.
( อ้างว้าง และมืดมนฉันเวียนวนในวันผันผ่าน)
For traces of the love you left inside my lonely heart.
( ดื้อดึงตามหาสิ่งที่จากลา ไม่รู้จะทำอย่างไร )
To weave by picking up the pieces that remain.
( แต่เพียง เสียงเธอ ที่เรานั้นเคยร่วมขับขาน )
Melodies of Life-Love's lost refrain.
( ก้องกังวาน เป็นพลัง ให้ฉันก้าวไป )

Our paths they did cross, though I cannot say just why,
( เส้นทาง ที่ก้าวเดินของสองเราราวกับนิทาน )
We met, we laughed, we held on fast, and then we said goodbye,
( ความสุขยังฝัง อยู่กับวันวานก่อนนั้นไม่อาจหวนคืน )
And who'll hear the echoes of stories never told?
( ไม่มี สัญญาดี ๆ เก็บไว้ในความทรงจำ )
Let them ring out loud till they unfold.
( ฉันก็ยัง จะเก็บงำเธอไว้ในใจ )

In my dearest memories, I see you reaching out to me.
( เธอยังยืนอยู่ที่ตรงนั้น ความฝันยังมีเธออยู่เสมอ )
Though you're gone, I still believe that you can call out my name.
( นานเพียงใด ฉันนั้นเฝ้าคอยคำเอ่ยจากเธอ ทุกเวลา )

A voice from the past, joining yours and mine.
( หากว่าน้ำตา ของเธอกำลังเอ่อล้น )
Adding up the layers of harmony.
( แม้ทุกข์ภัยผจญอยากให้เธอเข้มแข็ง )
And so it goes, on and on.
( ผ่านค่ำคืนนี้เพื่อวันใหม่ )
Melodies of life.
( ร้องเพลงนั้นในใจ )
To the sky beyond the flying birds-forever and beyond.
( ฟากฟ้าที่ไกลเกินไปจะยังมีฉันคอยเฝ้าดูอยู่ทุก ๆ เวลา )

So far and away, see the bird as it flies,
( ปีกนก ที่บางเบา ล่องลอยผ่านเส้นขอบฟ้าไป )
Gliding through the shadows of the clouds up in the sky,
( ความพลาดผิดพลั้ง ที่ฉันอ่อนใจ ฝากไว้ให้มันช่วยพา )
I've laid my memories, do you remember loving me?
( ห่างไกล แสนไกล เพียงเท่าไรจะไม่อ่อนล้า )
Leave them now and see what tommorow brings.
( ห้วงเวลา จะผ่านมาและล่วงเลยไป )

In your dearest memories, do you remember loving me?
( เธอยังยืนอยู่ที่ตรงนั้น เธอคิดว่ามันบังเอิญบ้างไหม? )
Was it fate that brought us close and now leaves me behind?
( สองหัวใจ มาเคียงชิดใกล้ และจากกันไป ให้เดียวดาย )

A voice from the past, joining yours and mine.
( หากว่าหัวใจ ของเธอกำลังอ่อนล้า )
Adding up the layers of harmony.
( ไขว่คว้าไม่ได้นำมา อย่าหยุดเลยได้ไหม )
And so it goes, on and on.
( อยากให้เธอพร้อมก้าวเดินไป )
Melodies of life.
( แม้จะไปทางใด )
To the sky beyond the flying birds-forever and beyond.
( ชีวิตยังคงยาวไกลหากใจเธอนั้นคงมั่นคงอยู่เรื่อยไป )

If should I leave this lonely world behind.
(หากโชคชะตา ของเธอยังคงหยัดยืน )
Your voice will still remember our melody.
( หากฉันไม่ย้อนคืนมาไม่ว่าด้วยเหตุใด )
Now I know we'll carry on.
( อยากให้เธอพร้อมก้าวเดินไป )
Melodies of Life.
( ร้องเพลงนั้นในใจ )
Come circle round and grow deep in out hearts, as long as we remember.
( จะรู้หนทางยาวไกลเธอยังมีฉัน คอยเฝ้าดูอยู่ทุก ๆ เวลา.. )



Credit ขอขอบพระคุณแหล่งที่มาทั้งหลายมากๆเลยคะ

โจ๊กถั่วเหลือง.....




วันนี้มีเมนูเด็ดมาฝากกันคะ เมนูที่ว่านี้คือ "โจ๊กถั่วเหลือง" อาหารที่เหมาะกับท่านในช่วงเช้า ๆ มาลองฝึกฝีมือกันคะ ส่วนผสมมีอะไรบ้าง........

สิ่งที่ต้องเตรียม

ถั่วเหลืองซีก ตราข้าวทองแช่น้ำจนนุ่ม 300 กรัม
น้ำสำหรับต้ม 1,500 ซีซี
ปลายข้าวหอมมะลิ 150 กรัม
เนื้อหมูบดปรุงรสปั้นเป็นก้อน 500 กรัม
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ตับหมูหั่นชิ้นบางลวกสุก 100 กรัม
ซีอิ๊วขาวสำหรับปรุงรส 2 ช้อนชา
ขิงซอย ต้นหอมซอยและพริกไทยป่น สำหรับโรยหน้า
ปาท่องโก๋และไข่ลวก สำหรับรับประทาน

วิธีทำ
1 ผสมถั่วเหลืองซีก ตราข้าวทองกับปลายข้าวหอมมะลิ และน้ำ ลงในภาชนะ นำขึ้นตั้งไฟ ต้มจนกระทั่งส่วนผสมสุกดี จึงยกลง เทใส่โถปั่น ปั่นให้ละเอียด เทใส่ในภาชนะสำหรับต้ม ใช้ไฟอ่อน ต้มต่อจนกระทั่งเดือด
2 ตักเนื้อหมูบดปรุงรสขนาดตามชอบลงต้มจนกระทั่งสุก ปรุงรสด้วยเกลือป่น คนผสมให้เข้ากัน ลดไฟอ่อน ตักโจ๊กถั่วเหลืองใส่ถ้วย ต่อยไข่ลวกใส่ลงชาม วางตับหมู ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว โรยหน้าด้วยขิงซอย ต้นหอมซอย พริกไทยป่น พร้อมรับประทานคู่กับปาท่องโก๋

อ่านแล้วรู้สึกหิวแล้วใช่ไหมคะ..... มานั่งหม่ำด้วยนะคะ..

ขอบคุณ Teenee.com สำหรับภาพและข้อมูล

เพื่อนสนิทสำคัญขนาดไหน....





เพื่อนสนิทสำคัญขนาดไหน



เพื่อนสนิท คือ ตัวเราเอง จริงนะ ถ้าเรายังไม่มีเพื่อนสนิทเลยก็อย่าไปมองหาค่ะ มันเหนื่อย ให้มาดูตัวเราเองนี่แหล่ะว่าเราเองเป็นที่พึ่งให้ตัวเองได้หรือยัง เหมือนคนจมน้ำไง ให้คิดว่ายน้ำด้วยตัวเองก่อนค่อยคิดหาขอนไม้ (เพื่อน)

แล้วถ้าเราเองเห็นตัวเองเป็นเพื่อนสนิท เราก็จะมีความสุข ทำกจกรรมอะไรก็ทำคนเดียว มั่นใจ สบายใจ ไม่เดือดร้อนใจด้วยนะเพราะเราทำของเราเองไง

เพื่อนนะคะ ต่อให้สนิทแค่ไหนเขาก็อยู่กับเรา ให้กำลังใจเรา แบ่งปันกับเราไม่ได้ตลอดเวลาอ่ะ เขาก็มีธุระของเขา ถ้าเราฝากใจไว้ที่เขา เราจะต้องเจ็บใจเข้าสักวัน วันดีคืนดีเราก็ผิดหวังเพราะเราคาดหวังอะไรในตัวเพื่อนมากไปอีก

แต่ถ้ามีเพื่อนสนิทอยู่แล้ว หมั่นชักชวนกันทำความดี อันนี้เราก็ว่าโชคดีมากเลยค่ะที่ได้เพื่อนดี

พุทธภาษิตว่า ถ้าไม่ได้สหายผู้รอบคอบ พึงเที่ยวไปคนเดียวและไม่พึงทำชั่ว

อย่างนี้ดีกว่าล่ะ มั่นใจ ไม่ต้องโหยหาใครค่ะ

......รักษาใจ...





ขอบคุณบทความจาก ธรรมจักร(hanako)

1 มิ.ย. 2554

การอยู่..กับปัจจุบัน...และอนาคต





การอยู่ให้ดีที่สุด คือ " การเตรียมตัวตายให้ดีที่สุด "

การตายให้ดีที่สุด คือ " การอยู่ให้ดีทีสุด "
ความทีชีวิตอยู่กับความตายเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

เราจะจากโลกนี้ไปอย่างมีความสุข...
ก็ต่อเมื่อเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

จุดจบของชีวิตเราอยู่ที่ไหน ?
ปลายทางของชีวิตก็มาจากเส้นทางที่เดินนั่นล่ะ!



" เมื่อสุข...มองโลกในแง่จริง "
" เมื่อทุกข์...มองโลกในแง่ดี "

เมื่อสุข...ให้สุขกับปัจจุบันอย่างมีสติ
และพร้อมจะตั้งรับกับอนาคตอย่างไม่ประมาท

เมื่อทุกข์...ให้มองอย่างใจเย็น มองหาข้อดีของความทุกข์
อย่างน้อยๆ มันก็มอบการเรียนรู้และความภาคภูมิใจ
เมื่อเราผ่านมันมาด้วยตัวเอง



น้อยคนนักที่จะอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง
เรามักปวดร้าวกับอดีต...สิ้นหวังกับอนาคต
เลยท้อแท้กับปัจจุบัน
ให้อดีตเป็นบทเรียน เป็นความทรงจำ

" ให้อนาคตเป็นความฝัน...ให้ปัจจุบันเป็นความจริง "


เลิกตั้งความหวังกับ อนาคต...
แต่ให้ตั้งใจกับ ปัจจุบัน
โดยมีอดีตเป็นพลังผลักดัน
ในการก้าวเดิน
แล้วคุณจะมีความสุข
กับการใช้ชีวิตได้ในทุก ๆ วัน


ขอบคุณที่มา : คุณธัญ

ธนาคารเวลา....





เวลาเป็นสิ่งมีค่า
แลกเปลี่ยนเป็นเงินเป็นทองได้
แต่ไม่มีธนาคาร ณ แห่งใดบนโลกใบนี้
ที่ยอมรับฝากวันเวลา แล้วถอนออกมาใช้ได้

นั้นหมายความว่า
เมื่อใดที่วันเวลาผ่านเลยไป
มูลค่าของเวลาจะไม่มีเหลืออยู่เลย
จึงไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก

เมื่อใดที่เวลาผ่านไปเป็นอดีต
มันได้กลายเป็นศูนย์
เป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีค่าอีกเลย
จึงไม่มีธนาคารใดจะเก็บรักษามูลค่าของเวลาไว้ได้

เวลาในอนาคตก็เช่นกัน
ไม่มีธนาคารไหนที่ให้สินเชื่อปล่อยกู้วันเวลา
เพราะว่าธนาคารจะไปหาเวลาจากไหนมาปล่อยกู้
และแน่ใจได้อย่างไรว่า วันเวลาข้างหน้าจะมาถึงจริง

ดังนั้นเวลาจึงมีค่าได้แค่ที่ปัจจุบัน
อยู่กับปัจจุบันทำวันนี้ให้ดีที่สุด
นั้นคือการเปลี่ยนเวลาอันมีค่า
ฝากไว้เป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป

ขอบคุณข้อความ : แมลงปอ อากิระ
วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2554

.